บทความทั่วไป

:: กาลครั้งหนึ่ง ::

กะว่าก๋า

:: กาลครั้งหนึ่ง ::





ภาพและคำโดย : กะว่าก๋า




















- 1 –





นี่คือยุคสมัยแห่งความสับสน
เข้าสู่กาลสมัยแห่งความเศร้าโศก
เมื่อพายุพัดโบกและหอบนำความวิปโยคเข้าสู่หัวใจ


สายลมบนพัดกระหน่ำอย่างคลอนแคลน
เมื่อสัตว์ร้ายในใจเฝ้าเก็บกดความเจ็บปวดในอดีตของตนเอาไว้
มันจึงคล้ายเข็มนับล้านเล่มที่ทิ่มแทง
แม้เจ็บจนเกินเจ็บ
แต่มิอาจกรีดร้องบอกใครได้แม้เพียงเสียงกระซิบกระซาบในยามทิวาวาร



นั่นหรือ --- ชีวิตที่เราควรเอาเยี่ยงอย่าง
นี่หรือ คือต้นแบบคุณงามความดีแห่งยุคสมัย


















- 2 –





เมื่อลิ้นแห่งการเจรจาพาทีเคลื่อนไหว
มันทำให้ใจคนที่คอยฟังสั่นเคลิ้ม
และหวามไหวราวกับถูกกอดรัดด้วยปิศาจพรางกาย
รูปกายอันหล่อเหลาราวเทพบุตร
กลับซ่อนไว้ซึ่งคมดาบที่พร้อมฟาดฟันชีวิตทุกชีวิต

เมื่อความเศร้าสร้อยถูกวางไว้สูงสุดแห่งยอดหอคอยความหวัง
จะทำอย่างไรได้......
คำพูดมิอาจแปรเปลี่ยนเป็นสรรพอาหารที่ทำให้อิ่มท้อง
จะทำอย่างไรได้......
เมื่อแนวคิดเลิศหรูมากมายถูกพ่นออกมาจากลมปาก
ราวกับกลุ่มหมอกควันยามเช้า
ที่พร้อมจะละลายหายลับไปเมื่อยามแดดสาย
จะทำอย่างไรได้......
เมื่อสัตว์ร้ายผู้หิวโหยในผลประโยชน์ ชื่อเสียง ตำแหน่ง
และสิ่งลวงตาจอมปลอมมากมาย
ยังมิอาจลดความกระหายใคร่อยากในสิ่งต่างๆเหล่านี้

ประชาชนถูกจับขึงพืด
กรีดผิวกาย ควักไส้และอวัยวะภายในออกมาวางทิ้ง
ก่อนปล่อยให้เหล่าแร้งผู้หิวโหย
ได้กัดกินกระชากกลืนชีวิตมากมายแห่งชนชั้นผู้ด้อยกว่า



เรามาถึงทางตันของความคาดหวัง
เมื่อความชิงชังเดินมาจนสุดทางแห่งปลายดาบ
ดาบที่เคยใช้ฟาดฟันศัตรู
ใกล้กลับย้อนมาบั่นคอตัวเองโดยมิอาจหลบเลี่ยง




ใครคือใคร ?
ใครคือผู้อยู่เหนือกว่าใคร ?
ใครคือคำตอบที่วางอยู่บนมืออันมิอาจปฏิเสธได้
ใครคือนามของผู้คุมกฏและผู้คุมเกมอันเต็มไปด้วยการนองเลือดในครั้งนี้ ?
























- 3 -






เมื่อข้าพเจ้าถูกตั้งคำถามถึง “แนวคิดอันแปลกและแตกต่าง”
ข้าพเจ้ามิอาจตอบคำถามของเหล่าคนโฉดเขลาเหล่านั้นได้
เพราะข้าพเจ้าเป็นเพียงคนโง่เง่าโง่งมที่รู้น้อยเกินไป
ข้าพเจ้าไม่มีความฉลาดในแบบที่งูพิษเหล่านั้นมี
ข้าพเจ้าไม่มีความโหดร้ายเหมือนที่ฝูงหมาป่าเหล่านั้นมี
ข้าพเจ้ายังมีความด้านอายและไม่อาจเย็นชาเพิกเฉยต่อศีลธรรมในใจของตนเอง
ข้าพเจ้าไม่อาจทำตัวให้กลายเป็นสิ่งที่ตนเองรังเกียจได้
ถ้าข้าพเจ้าเกลียด ข้าพเจ้าก็จะเกลียด
ข้าพเจ้าไม่อาจหลอกและเก็บกดความรู้สึกของตัวเองได้

ข้าพเจ้าเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ เพื่อใช้ชีวิต
ข้าพเจ้าจึงมิอยากกลายร่างเป็นซากศพ
เพื่อกลายเป็นฐานรองรับอุดมการณ์ทางการเมืองอันสกปรกโสโครกของใครคนใด




ข้าพเจ้ามองดูสังคมและไม่อาจเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงใดใดได้
จนกว่าที่ท่าน ท่าน และท่านทั้งหลาย
จะได้วางหัวใจและความคิดของท่านลง
ที่ตรงเบื้องหน้าแห่งสัจจะความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปร

สิ่งนี้ย่อมทำให้ยอดปลายแห่งดาบมิอาจพึงใจ
สิ่งนี้ย่อมทำให้สุดปลายของกรอบกฏมิอาจยอมรับได้


เพราะทั้งสองสิ่งต่างดึงรั้งร่างกาย
บีบสมองและจิตวิญญาณของประชาชน
จนแทบแตกแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆอยู่ในอุ้งมือของความทรงจำ


และแม้เราจะตายไป…
เขาก็อาจขุดซากศพของเราขึ้นมาเพื่อฉีกทึ้ง
สับอีกครั้ง อีกครั้งและอีกครั้งจนละเอียดเป็นผุยผง
และบดขยี้เศษศพของเราเข้ากับดวงดาวอันแตกดับ


เพื่อในท้ายที่สุด..


แสงแห่งความหวังอันริบหรี่นี้
จะยังคงฉายแสงอยู่บนท้องฟ้าสีเลือดอยู่ต่อไป
ตราบนานเท่านาน.....

















- 4 –






กาลครั้งหนึ่ง....
คือครั้งนี้
ที่เราเฝ้ารอดูการเปลี่ยนผ่านของหน้าประวัติศาสตร์


โลกหมุนไปทุกวัน
และสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง
โดยมิต้องรอให้เหล่าโหราจารย์อันบอดใบ้และงมงาย
มาชี้แจงแถลงไขและโน้มน้าวให้เราต้องเชื่อในคำพยากรณ์โง่เง่าเหล่านั้น


ทุกสิ่งเกิดและดับ
โดยมิต้องรอให้ศาสดาใดพยากรณ์
หรือบังคับให้เราต้องวอนไหว้ร้องขอใดใดต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เพื่อให้สิ่งหนึ่งกลับกลายเป็นสิ่งหนึ่ง
เพื่อให้ทุกข์เป็นสุข
หรือสุขเป็นทุกข์



เรามิได้เป็นทั้งความมืด
เรามิได้เป็นทั้งแสงสว่าง
หากแต่เราจักอยู่ตรงกลางของสองสิ่งนี้.

 

 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่