บทความทั่วไป

:: ภูเขาลูกนั้นเปลี่ยนชีวิตผม ::

กะว่าก๋า

 

 

:: ภูเขาลูกนั้นเปลี่ยนชีวิตผม ::



ภาพและคำโดย : กะว่าก๋า















หลายปีก่อน เป็นปีที่ยุ่งยากในชีวิตของผม
ผมรู้สึกไม่มีความสุขทั้งชีวิตการงาน และชีวิตรัก
ผมจัดการมันไม่ได้อย่างที่ใจคิด
จะเดินหน้าก็ติดขัด จะถอยหลังก็ลังเล
ยิ่งค้นเค้นหาคำตอบที่ใจต้องการ ยิ่งพบแต่ความมืดดำ


ถัดมาไม่กี่วัน ผมเดินทางไปท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์
ไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองนี้มีอะไรน่าสนใจ ข้อมูลก็หายาก
รู้แต่เป็นเมืองที่แทบจะไม่มีบริษัททัวร์ไหนจัดไปเลย
เพราะเป็นเมืองที่ยากจนเป็นอันดับสองของประเทศจีน
เมืองนี้มีชื่อว่า “กุ้ยโจว”


เท้าแตะแผ่นดินกุ้ยโจวปุ๊บ ผิวของผมแตกเป็นขุยสีขาวทันที
จากความหนาวเหน็บของอากาศที่เย็นยะเยือกใน ระดับ 3-5 องศา
อากาศหนาวจนปากซีดคอสั่น ผมไปแบบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
นอกจากพกพาความหงุดหงิดในใจของตัวเองไปเที่ยวด้วย




วันท้ายๆของการท่องเที่ยว
ไกด์ท้องถิ่นแถมรายการที่ไม่มีในโปรแกรม
บนรถบัส ไกด์บอกว่าจะพาไปดู “เทือกเขาหมื่นลูก”
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่มีใครรู้จัก แม้กระทั่งทัวร์จีนเองก็ตาม
(ปัจจุบันนี้สถานที่นี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตไปแล้ว)
รถจอด.....
คณะทัวร์เดินตามไกด์ไปเรื่อยๆตามถนนที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ผมเดินรั้งท้ายเงียบๆเพียงลำพัง

จนไปหยุดยืนที่เบื้องหน้านั้น.......
ทิวเขายาวสลับซับซ้อนตรงหน้า
สะกดผมให้ยืนนิ่ง เงียบ
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหยุดยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวนานแค่ไหน
วินาทีนั้นไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวในความรู้สึก
เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า สงบ สงัด....
ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำใดใด
จนไกด์มาสะกิดเรียกที่แขนว่า “ขึ้นรถได้แล้วค่ะ” ผมถึงรู้สึกตัว
ไกด์มาบอกให้ทราบในภายหลังว่า
เห็นผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสิบกว่านาทีได้
จนคณะทัวร์เดินขึ้นไปจนสุดถนน
แล้วเดินย้อนกลับมาเพื่อกลับไปที่รถ
ผมยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
เธอนึกว่าผมเป็นอะไรไป...



วันนี้...ผมกลับมานั่งอยู่ตรงนี้
นึกถึง“วินาที”นั้น....
วินาทีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม
รู้สึกได้ถึงคำตอบที่วางอยู่เบื้องหน้าซึ่งไม่ใช่ปาฏิหาริย์ใดใดเลย
มันเป็นเพียงการปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความรู้สึก
ปล่อยวางปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยหันกลับมาเพ่งมองตัวตนจากด้านใน
ด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า
ธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่กับตัวเราซึ่งเล็กดังฝุ่นผง




เรา...ซึ่งไม่ได้มีความหมายอันใดต่อโลกนี้เลย
นอกจากเป็นส่วนประกอบเล็กๆของจักรวาล
เราเป็นเพียงส่วนเสี้ยวเล็กๆบนโลกอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล
หากเรามองตัวตนให้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ได้
ปัญหาที่เราเผชิญอยู่
ยิ่งแทบกลายเป็นเรื่องไร้สาระและบางเบามากในวินาทีนั้น


ที่เราทุกข์
เพราะเราไปขยายขนาดของความทุกข์
ให้ใหญ่โตด้วยความคิดและจินตนาการของตัวเราเอง
แท้ที่จริงแล้ว...ยิ่งเราทำตัวเองให้เล็กลงมากเท่าไหร่
ขนาดของความทุกข์ก็เล็กลงตามไปด้วย
และเมื่อเราเข้าถึงสัจธรรมแห่งความเป็นจริงที่ว่า





สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ธรรมชาติไม่ใช่ “เรา”
เมื่อนั้น...ความเป็น “ตัวเรา” “ของเรา”
จะหายไปจนหมดสิ้น
เมื่อตัวเราไม่มีอยู่
ความสุขความทุกข์จะเข้าเกาะกุมสิ่งใดได้
นอกจาก “ความว่างเปล่า”







ผมกลับมาทำงานแบบคนที่เข้าใจชีวิตมากขึ้น
คนรอบข้างแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ผมผ่อนปรนกับตัวเองมากขึ้น หัวเราะได้ง่ายขึ้น
มีความสุขกับการใช้ชีวิต
และไม่ได้มองว่าปัญหาที่เคยมีเป็นปัญหาอีกต่อไป
มุมมองที่มีต่อความรักเปลี่ยน
ผมเลิกกลัวที่จะรักใครสักคนอย่างจริงจัง
ความรักไม่ใช่การเติมเต็ม แต่เป็นการแบ่งปัน
ไม่นานหลังจากนั้น...ผมตัดสินใจแต่งงาน



หลังจาก “วินาที” นั้น...ที่เทือกเขาในเมืองกุ้ยโจว
ผมเดินทางท่องเที่ยวไปอีกหลายที่
แต่ไม่เคย "รู้สึก" เหมือนครั้งนั้นอีกเลย
นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมมีความสุขในชีวิตน้อยลง
เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่า “คำตอบ” ของผมนั้นอยู่ที่ไหน
และคุณ ....
คงต้องค้นให้พบว่า “สถานที่” และ “วินาที” นั้นของคุณ
อยู่ ณ แห่งหนใด.

 

 

 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่