บทความทั่วไป

:: Tuesdays with Morrie ::

กะว่าก๋า

 

 

:: กะก๋าแนะนำหนังสือ ::





:: Tuesdays with Morrie ::



เขียน : Mitch Albom
แปล : อมรรัตน์ โรเก้



















“วันอังคารแห่งความทรงจำกับครูมอร์รี”



คุณเคยมีครูที่คุณรักมากๆไหมครับ ?
ครูที่ทำให้คุณรักวิชาที่เรียนแม้มันจะเป็นวิชาที่ยากในการเรียนรู้
ครูที่เดินเข้ามา ไม่ใช่เพียงแค่สอนวิชาการความรู้ให้คุณ
แต่เป็นครูที่เข้ามาเขย่าหัวใจคุณ
เข้ามาเปลี่ยนแปลงลูกศิษย์ให้ดีขึ้นในทุกๆด้าน
ด้วยความเมตตา ความรัก และความจริงใจ



สำหรับผม...ครูมอร์รีคือครูคนหนึ่งคนนั้นในชีวิตของผม
ครูผู้ใช้ “ชีวิต” ทั้งชีวิตของตนเองสอนลูกศิษย์ที่อยู่คนละฟากโลก
ผ่านเรื่องราวและตัวอักษรในหนังสือเล่มหนึ่ง....











ครูมอร์รีใช้โรคภัยของตัวเองเป็นครูสอนตน
ให้ปลงและเข้าใจการเกิดดับของสรรพชีวิต
เมื่ออยู่เหนือพ้นไปจากความเจ็บปวดทางกาย
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ครูมอร์รีได้ค้นพบความจริงในทางธรรม

และสิ่งที่ครูมอบให้โลกนี้...
จึงไม่ใช่การตัดพ้อต่อว่าโชคชะตา
ไม่ใช่การด่าทอเวรกรรม หรือสิ่งต่างๆ
แต่เป็นการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงแก่น
ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับ “ความตาย”
และ “วาระสุดท้ายของชีวิต” ที่กำลังเดินทางมาถึง












การพูดคุยกับศิษย์เก่าแก่ที่ห่างเหินกันไปนานอย่าง “มิตช์ อัลบอม”
จึงเป็นอะไรที่มากกว่าการร่ำลาครั้งสุดท้ายของชายหนุ่มกับชายชรา
ครูมอร์รีเลือกที่จะเขียน “วิทยานิพนธ์ฉบับสุดท้ายในชีวิต”
ร่วมกับลูกศิษย์ที่กลายมาเป็นคนเขียนหนังสือเล่มนี้...



ทุกวันอังคาร...มิตช์และครูมอร์รีพูดคุยกันในเรื่องราวต่างๆ
ตั้งแต่ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ความรัก ความตาย
ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว การให้อภัย ความกลัว
หรือแม้แต่เรื่องของความป่วยไข้และความแก่ชรา....













ครูมอร์รีมอบบทเรียน มุมมอง และทัศนะที่มีต่อโลกและตนเอง
ให้กับลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้าย




ทุกขณะที่กำลังสอนศิษย์
ครูมอร์รีเองได้สอนตนเองไปพร้อมๆกัน
ครูเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เปลี่ยนแปลง...เพื่อให้เป็นชีวิตที่ดีขึ้นๆในทุกขณะ
แม้ในวันที่ตนเองไม่อาจเดินเหินหรือขยับร่างกายได้อีกต่อไป...



















ครูมอร์รีไม่ได้นอนยิ้มรับความตายอย่างเปี่ยมสุข
หากแต่พยายามเข้าใจในสัจธรรมแห่งความเป็นจริงของชีวิต
ความกล้าหาญในความตายย่อมไม่ใช่ภาวะไร้ความกลัว
หากแต่เป็นความกลัวที่กำกับไว้ด้วยปัญญาและสติ
ความรู้สึกจึงไม่เตลิดเปิดเปิงไปกับความตายที่มายืนรออยู่เบื้องหน้าของชีวิต





















ไม่ได้มีความสุขที่อยากตาย
แต่เต็มใจที่จะยอมรับความตายอย่างสงบ

















หลายครั้งที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า
อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
ครอบครัว หน้าที่การงาน เงินทองทรัพย์สิน
รถคันใหม่ บ้านหลังใหญ่ ความสุขในชีวิตคู่
เซ็กส์รสจัด หรืออาหารรสเลิศ
ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือการได้รับการยอมรับนับถือจากสังคม
ฯลฯ


สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่มีความหมายอะไรเลย
ในวันที่เรารู้ตัวว่าป่วยหนักและใกล้ตาย


เราได้หลงลืมอะไรไปบ้างหรือเปล่า
ในทุกขณะที่เราตื่นเช้ามาแล้วใช้ชีวิตไปจนหมดวัน

เรารัก เราเจ็บปวด เราเหนื่อย
เราด่าทอทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เราเศร้า เราป่วย เราทุกข์
เราหดหู่กับสิ่งที่ไม่เป็นไปดั่งใจเรา


เราค้นหาความสำเร็จ
เราอยากครอบครองและควบคุมทุกอย่าง
ให้ได้อย่างที่ใจเราปรารถนา


เพราะวิธีคิดแบบนี้หรือเปล่า
เราจึงวุ่นวายและวกวนอยู่กับชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยไม่จบสิ้น
เราถึงได้รู้สึกว่าชีวิตเราไม่มีมุมสงบ
ที่สามารถให้เราพักผ่อนและนอนหลับได้อย่างเต็มตาเลย....














หลายประโยคในหนังสือเล่มนี้เกือบทำน้ำตาผมร่วงหล่น
มิใช่เพราะความเศร้าในชะตากรรมของคนป่วย
หากแต่เป็นความเต็มตื้นต่อชีวิต
ผมได้สัมผัสชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิต
ได้รู้สึกรับรู้ถึงความเป็นครูอย่างแท้จริง
ครูผู้ให้ในสิ่งที่ดีที่สุดของตนเองออกไป
และได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดของคนรอบข้างกลับคืนมาเช่นกัน
















“ครูคิดไว้แล้วว่าจะให้จารึกอะไรลงไปบนป้ายหลุมศพของครู”

“ครูคิดไว้ว่าอย่างนี้...
ครูผู้เป็นครูจวบจนวาระสุดท้าย”















และครูมอร์รีก็เป็นครูที่แท้จริงสำหรับผมเช่นกัน.

 

 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่