ถึงกายแต่ไม่ถึงใจ
ถึงกายแต่ไม่ถึงใจ
จากหนังสือ สายธารแห่งความสุข โดย รินใจ
บางครั้งชีวิตก็หักเหจนตั้งตัวไม่ติด กำพล เป็นหนุ่มที่มีอนาคตสดใส แต่รับราชการมาได้ไม่ถึง ๓ ปีก็ประสบเหตุไม่คาดฝัน ขณะที่พุ่งตัวลงน้ำเกิดพลาดท่า หัวกระแทกพื้นที่ก้นสระจนหมดสติ มารู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนเป็นอัมพาตเกือบทั้งตัว ขยับเขยื้อนได้แค่หัว กับใช้แขนทั้ง ๒ ข้างได้บ้าง
เขาพยายามบอกตัวเองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้เป็นแค่ความฝัน ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนกลายเป็นคนพิการไปแล้ว ไม่ว่ารักษาเท่าไร อาการของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นมาก นั่นหมายความว่าเขาจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปจนตลอดชีวิต ไม่อาจเที่ยวเตร่ สนุกสนาน หรือมีชีวิตเยี่ยงคนปกติได้
ติดคุกยังมีวันออก เป็นมะเร็งก็ยังพอกำหนดได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี แต่พิการอย่างเขา อนาคตกลับมืดมนยิ่ง ไม่มีใครบอกได้ว่าเขาจะต้องทนทุกข์ไปนานเท่าไร
แต่ใช่หรือไม่ว่า ความทุกข์นั้นมีวันสิ้นสุดได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ กาลเวลาล่วงเลยมากว่า ๒๐ ปีแล้ว นานพอที่ผู้ต้องขังคดีอุกฉกรรจ์จะพ้นโทษได้ กำพลก็เช่นกัน วันนี้เขาพูดได้เต็มปากว่า เขาเป็นอิสระแล้ว
หามิได้ ไม่มีปาฏิหาริย์ใด ๆ จะช่วยให้เขาหายพิการได้ เขายังทอดกายอยู่บนเตียงเหมือนเดิม ใจของเขาต่างหากที่เป็นอิสระ ทุกข์ภัยใด ๆ จากความพิการไม่สามารถกลุ้มรุมรัดจิตใจของเขาได้อีกต่อไป
จิตใจของเขาเป็นอิสระก็เพราะพบความจริงว่า กายของเขาเท่านั้นที่พิการ แต่ใจหาได้พิการด้วยไม่ ที่แล้วมาเขาหลงปล่อยให้ใจพิการไปกับกายด้วยเสียนาน แต่เมื่อมีสติแลเห็นชัดว่า อุบัติเหตุที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับกายเท่านั้น จิตก็สลัดความทุกข์ออกไปทันที เขาเล่าว่า "จิตได้ขอลาออกจากความพิการทางร่างกาย ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้"
ความจริงดังกล่าว ดูเหมือนเป็นเรื่องสามัญเสียเหลือเกิน แต่คนส่วนใหญ่กลับมองไม่เห็น นั่นเป็นเพราะว่าใจพลอยไปทุกข์ร้อนกับกาย เอาแต่ตีอกชกหัว หาไม่ก็ตีโพยตีพายกับสิ่งที่เกิดขึ้น ความลืมตัวดังกล่าว บดบังเราไม่ให้เห็นความจริงที่แสนจะพื้นๆ
กายกับใจสัมพันธ์กันก็จริงอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อกายทุกข์ ใจก็ต้องทุกข์ตามด้วย ใจไม่ได้เป็นทาสของกายถึงเพียงนั้น ใจเรามีอิสระที่จะทำได้มากกว่านั้น
กำพลพบว่า กายกับใจ เปรียบเหมือนกับฝาตลับยาหม่อง แม้ประกบกันก็จริง แต่แยกจากกันได้ หลังจากที่ทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญสติอย่างจริงจัง เขาก็สามารถแกะตลับยาหม่องให้แยกจากกันเป็น ๒ ฝาได้สำเร็จ ณ จุดนั้นเอง ที่ความพิการทางกาย ไม่สามารถยัดเยียดความทุกข์ ให้แก่จิตใจของเขาได้อีกต่อไป
แม้เป็นบุคคลที่ 'ไร้อนาคต' แต่ทุกวันนี้เขากลับยิ้มแย้มแจ่มใส ยิ่งกว่าสมัยที่อนาคตสดใสเสียอีก แถมยังเป็นสุขกว่าอีกมากมายหลายคนที่มีอาการครบ ๓๒
ทุกคนมีความสามารถที่จะเป็นอิสระจากความทุกข์ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตก็ตาม ถ้าเราตั้งตัวติด มีสติ และรู้จักวางจิตวางใจให้เป็น ถึงแม้จะมีภัยต่าง ๆ บังเกิดกับทรัพย์สมบัติและร่างกายของเรา มันก็ไม่อาจลามมาถึงใจเราได้
นอกจากมันจะทำอะไรเราไม่ได้แล้ว มันยังอาจเป็นประโยชน์แก่เราได้ด้วย สตีเฟ่น ฮอว์คิง คงไม่มีผลงานก้องโลก จนได้รับการยกย่องว่า เป็นไอน์สไตน์ของยุคนี้ หากว่าเขายังมีร่างกายเหมือนคนปกติ ทั้งนี้เพราะเขาใช้ชีวิตวัยหนุ่มอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั่งวันหนึ่งได้พบว่าตนกำลังเป็นโรคร้ายที่อาจทำให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ขณะที่ระบบประสาทเริ่มเสื่อมถอย เขาเริ่มคิดถึงการทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีความหมาย เขาได้ทุ่มเทกับการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจังเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับจักรวาล
แม้ว่าในที่สุดร่างกายจะพิการขยับเขยื้อนไม่ได้เลยทั้งตัว ยกเว้นกะพริบตา เคี้ยวอาหาร และขยับนิ้วได้เท่านั้น แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยใจ ให้เป็นทุกข์กับชะตากรรมดังกล่าว หากยังคงค้นคว้าต่อไป จนค้นพบทฤษฎีสำคัญว่าด้วยกำเนิดจักรวาล หนังสือของเขาเป็นที่รู้จักทั่วทั้งโลก และตัวเขาเองก็ได้รับการนับถือว่า เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผู้หนึ่งในเวลานี้
ทุกข์กายนั้นไม่มีใครหนีพ้น แต่ไยปล่อยให้มันลามไปถึงใจด้วย
… จากบทความนี้ เมื่ออ่านจบแล้ว เราๆท่านๆได้อะไรบ้าง…หนอ…
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่