ภูเขาลูกนั้นเปลี่ยนชีวิตผม
เขียนโดย : กะว่าก๋า
หลายปีก่อน เป็นปีที่ยุ่งยากในชีวิตของผม
ผมรู้สึกไม่มีความสุขทั้งชีวิตการงาน และชีวิตรัก
ผมจัดการมันไม่ได้อย่างที่ใจคิด จะเดินหน้าก็ติดขัด จะถอยหลังก็ลังเล
ยิ่งค้นเค้นหาคำตอบที่ใจต้องการ
ยิ่งพบแต่ความมืดดำ
..................................................
ถัดมาไม่กี่วัน ผมเดินทางไปท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์
ไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองนี้มีอะไรน่าสนใจ ข้อมูลก็หายาก
รู้แต่เป็นเมืองที่แทบจะไม่มีบริษัททัวร์ไหนจัดไปเลย
เพราะเป็นเมืองที่ยากจนเป็นอันดับสองของประเทศจีน
เมืองนี้มีชื่อว่า “กุ้ยหยาง”
เท้าแตะแผ่นดินกุ้ยหยางปุ๊บ
ผิวของผมแตกเป็นขุยสีขาวทันที
จากความหนาวเหน็บของอากาศที่เย็นยะเยือกในระดับ 3-5 องศา
ขณะจากเมืองไทยมานั้นอุณหภูมิ 33 องศา
อากาศหนาวจนปากซีดคอสั่น
ผมไปแบบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย
นอกจากพกพาความหงุดหงิดในใจของตัวเองไปเที่ยวด้วย
..................................................
วันท้ายๆของการท่องเที่ยว ไกด์ท้องถิ่นแถมรายการที่ไม่มีในโปรแกรม
บนรถบัส ไกด์บอกว่าจะพาไปดู “เทือกเขาพันลูก”
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังไม่มีใครรู้จัก แม้กระทั่งทัวร์จีนเองก็ตาม
รถจอด.....
คณะทัวร์เดินตามไกด์ไปเรื่อยๆตามถนนที่ยังสร้างไม่เสร็จ
ผมเดินรั้งท้ายเงียบๆ
จนไปหยุดที่เบื้องหน้านั้น.......
ทิวเขายาวสลับซับซ้อนตรงหน้า
สะกดผมให้ยืนนิ่ง เงียบ
ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหยุดยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวนานแค่ไหน
วินาทีนั้นไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวในความรู้สึก
เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า สงบ สงัด....
ความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยถ้อยคำใดใด
จนไกด์มาสะกิดเรียกที่แขนว่า “ขึ้นรถได้แล้วค่ะ”
ผมถึงรู้สึกตัว ไกด์มาบอกในภายหลังว่าเห็นผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นสิบกว่านาทีได้
จนคณะทัวร์เดินขึ้นไปจนสุดถนน
แล้วเดินย้อนกลับมาเพื่อกลับไปที่รถ ผมก็ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
เขานึกว่าผมเป็นอะไรไป...
...................................................
วันนี้...ผมกลับมานั่งอยู่ตรงนี้
นึกถึง“วินาที”นั้น....
วินาทีที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผม
ผมรู้สึกได้ถึงคำตอบที่วางอยู่เบื้องหน้า
มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ใดใดเลย มันเป็นแค่การปล่อยวางความคิด
ปล่อยวางความรู้สึก ปล่อยวางปัญหาทุกสิ่งทุกอย่าง
โดยหันกลับมาเพ่งมองตัวตนจากด้านใน
ด้วยการเปรียบเทียบตัวเองกับธรรมชาติที่อยู่เบื้องหน้า
ธรรมชาติที่แสนยิ่งใหญ่ กับตัวเราซึ่งเล็กดังฝุ่นผง
เรา...ซึ่งไม่ได้มีความหมายอันใดต่อโลกนี้เลย
เรา...แค่ส่วนเสี้ยวเล็กๆบนโลกอันแสนกว้างใหญ่ไพศาล
ถ้าเรามองตัวตนเราให้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ได้
ปัญหาที่เราเผชิญอยู่มันยิ่งแทบกลายเป็นเรื่องไร้สาระมากในวินาทีนั้น
...............................................
ผมกลับมาทำงานแบบคนที่เข้าใจชีวิตมากขึ้น
คนรอบข้างแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงนี้
ผมรู้...แต่ไม่มีใครกล้าเข้ามาพูดคุยอย่างจริงจังด้วย
เขาคงกลัวคนเดิมที่เคยรู้จักซึ่งยังไม่จากไปไหน
ผมผ่อนปรนกับตัวเองมากขึ้น หัวเราะได้ง่ายขึ้น
ผมมีความสุขกับการใช้ชีวิต
และไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาอีกต่อไป ...
ก็แค่ใช้ชีวิตให้ดี
มุมมองที่มีต่อความรักเปลี่ยน
ผมเลิกกลัวที่จะรักใครสักคนอย่างจริงจัง
ความรักไม่ใช่การเติมเต็ม แต่เป็นการแบ่งปัน
ไม่นานหลังจากนั้น...ผมตัดสินใจแต่งงาน
...............................................
หลังจาก “วินาที” นั้นที่เทือกเขาในเมืองกุ้ยหยาง
ผมเดินทางท่องเที่ยวไปอีกหลายที่ แต่ไม่เคย "รู้สึก" เหมือนครั้งนั้นอีกเลย
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ผมมีความสุขในชีวิตน้อยลง
เพราะผมรู้แล้วว่า “คำตอบ” ของผมนั้นอยู่ที่ไหน
และคุณ คงต้องไปตามหา “สถานที่” และ “วินาที” นั้นของคุณเอง.
................................................
หมายเหตุ :
ทั้งสามภาพถ่ายที่เมืองกุ้ยหยาง ประเทศจีน
เป็นภูเขาที่ผมมีความรู้สุกผูกพันมากอย่างบอกไม่ถูก
ผมเรียกเป็นการส่วนตัวว่านี่คือ "สถานที่หนึ่งในดวงใจ"
และต้องหาโอกาสกลับไปเยือนอีกครั้งให้ได้
ไม่ว่าความรู้สึกที่ได้พบอีกครั้งจะแตกต่างออกไปเพียงใดก็ตาม
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่