บทความทั่วไป

เมื่อสิงห์โตหมอบ...

กะว่าก๋า








เขียนโดย  :  กะว่าก๋า

 




ในบทสนทนาตอนหนึ่ง เพื่อนบอกว่า
ผมดูใจเย็น นิ่ง และมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น...
อะไรทำให้เขาคิดอย่างนั้น....ผมพยายามนึกตามไปด้วย
มองย้อนกลับเข้าหาตัว

หรือเราทำมันจนเคยชินและกลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
เป็นความเคยชินที่ผมชอบ
และคนรอบข้างก็คงชอบเช่นกัน


 


.........................................

 



ผมมองย้อนกลับไปในชีวิตแบบเก่า
โกรธคนง่าย โมโหรุนแรง มุ่งมั่นตั้งใจมากกับทุกสิ่ง
ถ้าเชื่อว่า “ไม่ถูกต้อง” ก็คือ “ไม่ถูกต้อง”
อย่ามาคิดเปลี่ยนเสียให้ยาก
ผมพร้อมระเบิดอารมณ์ทุกวินาที หากใครล้ำเส้น
แน่นอน...พร้อมอาฆาตมาดร้าย

และรอจังหวะแก้แค้นทิ่มแทงด้วยคำพูดและท่าทางทุกครั้งไป


.....อะไรสร้างคนๆหนึ่งให้เป็นเช่นนี้
สิ่งแวดล้อมก็ส่วนหนึ่ง
การเรียนรู้ก็ส่วนหนึ่ง
วิธีคิดก็ส่วนหนึ่ง
วัยและมุมมอง
ประสบการณ์ ฯลฯ

ผมเชื่อว่า ผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม เป็นสิ่งดี
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบผม ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ใกล้แล้วมีความสุข
ผมยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
และพยายามทำให้โลกหมุนรอบตัวเอง
นั่นเป็นวิธีคิด...ที่โง่เง่าสิ้นดี

 

 


..................................................

 



เมื่อกลับมาสู่ภาวะแห่งความเป็นจริง
เมื่อผมมองเห็นแต่ด้านเลวร้ายของเขา
ผมย่อมละเลยข้อดีที่เขามีอยู่
เมื่อผมด่าทอคนอื่น ต่อให้แนบมาพร้อมความหวังดีแค่ไหน
คนนั้นย่อมไม่พึงพอใจ และอาจเลยเถิดไปถึงขั้นเกลียดชังกัน
เมื่อผมไม่พอใจใครและแสดงออกผ่านสีหน้า แววตา และท่าทาง
ถามว่าผมยังมีโอกาสได้เขาเป็นเพื่อนอยู่อีกไหม

หลายปีของการทำงานผ่านปัญหามากมายร้อยพัน
สิ่งที่ผมสำนึกก็คือ การทำงานกับคนนั่นแหละ
ที่เป็นบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม
พวกเขาสั่งสอน อบรม และชี้ให้ผมมองเห็นด้านที่เป็นความจริงทั้งหมดของมนุษย์
งานของผม ทำให้พบเจอคนทุกแบบ ทุกอารมณ์
ตั้งแต่ดีที่สุด ไปจนถึงเลวร้ายที่สุด
เมื่อพบผ่านผู้คนมากๆเข้า ....
วันหนึ่ง พบก็ค้นพบอีกด้านหนึ่งของตัวเอง


 


.....................................................

 



เปล่า...ผมไม่ได้บรรลุธรรมหรือถ่องแท้กับสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ใดใดทั้งสิ้น
ผมแค่เลือกเส้นทางเดินใหม่ เส้นทางที่มีอยู่แล้ว
เพียงแต่ไม่เคยคิดที่จะเดิน

 


ผมยิ้มมากขึ้นทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง
ผ่อนคลายกฏเกณฑ์บางอย่างในชีวิตที่เคยเข้มงวด
เดินทางเที่ยวเพื่อหามุมมองใหม่ๆ
ทำงานต่างๆที่เป็นสิ่งที่เราชอบและมีความสุขที่จะทำมัน
(ผมชอบคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า
...งานคือชีวิต ชีวิตคืองาน....

การทำงาน คือ การปฏิบัติธรรม)
 


ปล่อยตัวเองให้เป็นส่วนหนึ่งของโลก
และไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้เชื่อหรือคิดเหมือนเรา
เขาคือเขา เราคือเรา
มองให้เห็นข้อดีของทุกคนที่ได้พบ
ใครที่เคยชิงชัง โกรธแค้น ค่อยๆให้อภัยเขา อโหสิกรรม
ยกโทษในความผิดพลาดที่เคยมีของตัวเอง
และยกโทษให้กับสิ่งที่ผู้อื่นได้เคยทำไม่ดีไว้กับเรา....
มองทุกอย่างให้เป็นธรรมชาติ,ธรรมชาติอย่างที่มันเป็นอยู่
ฯลฯ....

 


อีกมากมายหลายวิธีที่ผมค่อยๆสร้างทำ
และเปลี่ยนแปลงตัวเองจากด้านใน
วิถีทางที่ทำให้เราเดินช้าลง หายใจช้า แต่ลึกและหายใจยาวๆ

เส้นทางที่ทำให้เรารู้ว่า มีสิ่งสวยงามมากมายระหว่างทางที่เรากำลังเดินไป
เพียงแต่เราเดินให้ช้าลง สนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น
และรู้จักหยุด เพื่อชื่นชมความสวยงามนั้น


 


.........................................

 


อยู่ๆคำว่า “สิงห์โตหมอบ” ก็แวบเข้ามาในหัว
ผมรู้สึกว่ามันแทนตัวผมได้ดี (ผมเกิดราศีสิงห์)
ไม่ได้หมายความว่าที่ผ่านมาผมจะใช้ชีวิตยิ่งใหญ่เหมือนราชสีห์
ที่คอยกระโจนและพุ่งทะยานไปข้างหน้า
หรือเข่นฆ่าทำลายคนที่ไม่เห็นด้วย
ผมเพียงแต่คิดว่า การที่สิงห์นั่งหมอบ
อาจหมายถึง การรอคอย อดทนที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆวัน
อาจหมายถึง การอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่เย่อหยิ่งผยอง ว่าตัวเองคิดหรือทำได้เหนือใคร
อาจหมายถึง การพักผ่อนแบบสงบ นิ่ง และมีความสุข
อาจหมายถึง การนิ่งรับกับทุกสถานการณ์ด้วยสติและความคิด


 


...............................................

 


แน่นอน...สิงห์โตตัวเก่าในใจผมย่อมไม่ได้จากไปไหน
มันอาจแค่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดชั่วคราว
เพียงเพราะมองเห็นว่า เมื่อเลือก “วิถีทาง” เช่นนี้แล้ว
ตัวเองก็มีความสุข
คนรอบข้างก็มีความสุข....

แต่โปรดระวังการเข้าหาและการผูกสัมพันธ์
“สิงห์โตหมอบ” ไม่ได้หมายความว่ายอมหมอบราบคาบแก้วไปเสียทุกเรื่องราว
บางครั้ง “หมอบ” ก็มีนัยยะว่าอาจคิดที่กำลังจะ “กระโจนทะยาน” ได้เช่นกัน.





................................................

 

 



หมายเหตุ :

ตราประทับหินที่ผมแกะสลักในเมืองเฉินตู ประเทศจีน
เป็นภาษาจีนที่แปลว่า "สิงห์โตหมอบ"




กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่