ความฝันที่สูญหายไป...
นานแล้วที่ผมไม่ได้ฝัน...
ไม่ว่าจะเป็นฝันกลางวันในยามหลับตา
หรือฝันตอนกลางคืน
จะเป็นฝันร้ายหรือฝันดี
ล้วนแต่ไม่เกิดขึ้นกับตัวผมเลย
.........................................
ความฝันนับว่าให้คุณกับผมอยู่ไม่น้อย
ในช่วงที่ยังเด็กและเต็มไปด้วยจินตนาการ
ความฝันพาผมท่องไปยังดินแดนที่ชีวิตจริงไม่มีวันก้าวผ่านไปถึง
ความฝันทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับใบหน้าของหญิงสาวในความปรารถนา
ความฝันทำให้ผมเป็นคนสำคัญที่ทุกคนยอมรับนับถือ
ความฝันทำให้ผมทำในสิ่งที่หากเป็นโลกของความเป็นจริง
แม้แต่จะคิด...ยังไม่กล้า
ความฝัน...จึงเป็นยาบำบัดอารมณ์ชั้นเยี่ยม
ตื่นขึ้นมา แม้รู้ว่าเป็นเพียง “ฝันที่ไม่อาจเป็นจริง”
ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่าการนั่งเศร้าอยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงอันน่าเงื่องหงอย
............................................
ผ่านโลกมาถึงจุดหนึ่ง
ผมจึงได้รู้ว่า “ความฝัน” ไม่ได้มีความหมายใดใดอีกแล้ว
ผมไม่ต้องการยาขนานนี้อีกแล้ว ในการบำบัดความทุกข์ในใจของตัวเอง
สิ่งที่ผมต้องการมากกว่า
คือ การยอมรับความจริงอย่างที่มันเป็น
มองเห็นโลกตามความเป็นจริง
และใช้ชีวิตอยู่กับสภาพความเป็นจริงตรงนั้นให้ได้อย่างมีความทุกข์น้อยที่สุด
ถึงจุดหนึ่ง....
คุณต้องยอมรับความจริงทั้งสองด้านของชีวิตให้ได้
ด้านที่เปี่ยมสุข
กับ ด้านที่โคตรทุกข์
ทั้งสองด้านไม่เคยมาพร้อมกัน
แต่อยู่ใกล้กันมาก จนเราอาจไม่สนและใส่ใจรับรู้
...........................................
จะลืมตาตื่น หรือหลับตาฝัน
ชีวิตก็ต้องดำเนินไปบนพื้นฐานของ “ความจริง” อยู่ดี
นั่นเป็น “ความจริงแท้” ที่เราทุกคนต้องเผชิญ.
...................................................
หมายเหตุ :
ดอกอโศกเหลือง
สวย....เพราะความเข้าใจผิดในเรื่องชื่อ
ทำให้คนไม่ค่อยกล้านำต้นนี้ปลูกไว้ในบ้าน
จริงๆแล้ว...อะ-โศก แปลว่า ไม่มีความทุกข์โศก
เหมือนที่เราเคยตั้งแง่กับต้นลั่นทม ว่าพ้องเสียงกับคำว่า
"ระทม" แล้วก็ไม่ยอมปลูกกัน พอเปลี่ยนชื่อเป็น
ลีลาวดี ก็ขายดิบขายดี......
ถ้าเปลี่ยนคำว่า "สุข" ให้กลายเป็นคำว่า "ทุกข์"
จะมีใครกล้าพูดมั้ยว่า "วันนี้ทุกข์จังเลย"
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่