กลัวผีไปทำไม ?
เขียนโดย : กะว่าก๋า
สมัยเด็กยอมรับตามตรงว่าผมเป็นคนกลัวผีมาก
ทั้งๆที่ไม่เคยพบเจอแบบจังๆแม้เพียงครั้งเดียว
แต่ในวัยนั้น..เราย่อมไม่มีคำตอบให้กับตัวเองว่าเรากลัว “อะไร”
รู้แค่กลัวกับสิ่งที่มองไม่เห็น
และรูปลักษณ์ของมันก็น่าเกลียดน่ากลัวไปตามจินตนาการของตัวเราเอง
..............................................
ตอนกลับไปเรียนที่กรุงเทพฯอีกครั้ง
ผมกับเพื่อนเช่าบ้านหลังหนึ่งอยู่ด้วยกัน
เป็นบ้านในหมู่บ้านแถบชานเมืองที่เงียบและบรรยากาศวังเวงมาก
สามทุ่มนี่เงียบกริบเหมือนไม่ใช่กรุงเทพ
บ้านหลังนี้ยังไม่เคยมีใครเข้าไปอยู่
พวกผมเป็นกลุ่มแรก....
และดูเหมือน “อะไรบางอย่าง” ก็เข้ามาทักทายพวกเราจนครบทุกคน
คือ เหมือนมีเงาสีดำมากดทับบนร่างจนขยับเขยื้อนไม่ได้
ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะยามวิกาลเท่านั้น
แม้ตอนบ่ายแดดจ้าก็ยังโดน
แรกๆที่เพื่อนเล่าว่าโดนผีอำ ผมยังขำๆและแซวกันเล่น
แต่พอได้เจอกับตัวถึงได้รู้ว่า
บางครั้งสภาวการณ์บางอย่างก็หาคำตอบที่ดีเพียงพอไม่ได้เลย
.............................................
หลังจากทำงานส่งอาจารย์กันจนดึก
ตีสามผมล้มตัวลงนอนได้ไม่นาน
มีความรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังคืบคลานขึ้นมาจากปลายเท้า
“มาเล่นบ้าอะไรกันตอนนี้วะ” ผมคิดในใจด้วยความง่วงงุน
เหลือบตามองไปที่ปลายเท้า แม้ในห้องจะมีแต่ความมืด
แต่แสงสว่างจากดวงจันทร์ที่ลอดส่งอมาทางหน้าต่าง
ก็สว่างพอทำให้มองเห็น “เงาตะคุ่ม” นั้นได้อย่างชัดเจน
ผมหันไปมองทางด้านขวามือของตัวเอง
เพื่อนสองคนนอนหลับนิ่งไม่ไหวติง
ทั้งห้องนี้ก็นอนกันแค่สามคน
แล้วไอ้นี่เป็นใคร ?....
ไวกว่าความคิด เงาดำลึกลับนี้ค่อยๆไต่ขึ้นจนถึงเอวผม
มือของมันจับแขนทั้งสองของผมแน่น
ผมพยายามขยับ ดิ้นรน ...แต่ไม่เป็นผล
น้ำหนักที่โถมทับ หนักและทำให้ผมหายใจไม่ออก
ผมพยายามตะโกนร้อง แต่ไม่มีแม้แต่เสียงเพียงนิดที่เล็ดรอดออกมาได้...
ผมพยายามตั้งสติอีกครั้ง สวดมนต์บทที่ผมสวดเป็นประจำทุกวัน
ตาพยายามเหลือบมองลงไปที่ปลายเท้า
เห็นชัดว่าหัวของมันหยุดอยู่ที่ลิ้นปี่ของผม
คล้ายว่ามันพยายามขยับขึ้นมา แต่ทำไม่ได้
พระเครื่องที่แม่ให้ไว้อยู่ตรงตำแหน่งนั้นพอดี
“....กิจใช่มั้ย”
ในความเงียบ ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอย่างชัดเจน
เสียงมันเย็นและแหบแห้ง
ผมสวดมนต์ไปเรื่อยๆ พยายามสงบสติอารมณ์....
ยาวนานเหมือนเป็นวัน ทั้งที่เวลาผ่านไปแค่ 5 นาที
ผมฮึดออกแรงอีกครั้ง เหมือนกระชากตัวเองขึ้นมา
ทุกอย่างหายวับ !!!
เหงื่อแตกทั่วร่าง ทั้งๆที่ตอนนั้นก็ใกล้เข้าสู่วันใหม่อากาศในห้องเย็นสบาย
เพื่อนยังหลับนิ่งทั้งคู่
ผมหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน
จากการดิ้นรนต่อสู้กับสิ่งที่ผมก็ให้คำตอบไม่ได้ว่าคืออะไร ?
...........................................
ตื่นเช้ามาผมเล่าให้เพื่อนฟัง
ทุกคนยืนยันว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆ
เรื่องผีอำนี่โดนกันทุกคน
ส่วนอีกคนก็บอกว่าตอนทำรายงานอยู่ เวลาประมาณตีสอง
หันมองออกไปที่ประตูบ้าน
เห็นส่วนล่างของคนเดินไปมาอยู่ตรงสวนหน้าบ้าน
กำลังลุกไปเดินดูชัดๆว่าใคร....เห็นเป็นคนแต่งชุดไทย
มันกลับมานั่งทำงานต่อด้วยความกลัว
ตรงนั้นเป็นศาลเจ้าที่เจ้าทางที่เราทำไว้...
เพื่อนอีกคนมานอนที่บ้าน
ตีสามลุกสะดุ้งขึ้นมาตะโกนโวยวายโหวกเหวก
บอกว่าตอนที่ล้มตัวลงนอน มันเห็นเด็กตาสีแดง
ลอยจากผนังในห้อง ลอยผ่านเข้าไปยังอีกห้องที่อยู่ติดกัน
ผมถามแค่ว่า “มึงเมาตาฝาดรึเปล่า”....
เพื่อนเงียบและไม่พูดอะไรต่อ
อีกครั้ง...ผมฝันว่าเพื่อนสนิทที่ตายไปตั้งนานแล้ว
มันกลับมาหาที่บ้านนี้
ผมถามไปว่า “สบายดีรึเปล่า”
เพื่อนตอบว่า “กูไปสบายแล้ว” มันยิ้ม...และค่อยๆเลือนหายไป
แต่ความรู้สึกเหมือนว่าผมได้ออกไปคุยกับมันจริงๆ
ได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ไม่อยากเล่าให้เพื่อนรู้
กลัวทุกคนจะกลัว
...........................................
เราอยู่ที่บ้านหลังนี้จนเรียนจบ
เพื่อนร่วมชั้นเรียนไม่ค่อยมีใครอยากค้างคืนที่นี่
มองจากด้านนอกก็น่ากลัวไม่หยอก
หน้าบ้านมีต้นพุทราต้นใหญ่ แผ่ใบปกคลุมมืดครึ้ม
“กลัวผีไปทำไม ผีไม่มีตัวตน ?”
ใช่....บางอารมณ์ผมว่า “คน” นี่แหละที่น่ากลัวกว่าผี
เลวกว่าผี
ผีก็แค่มาหลอกมาหลอน ทำให้กลัว
แต่คนนี่ทั้งหลอก ทั้งลวง แถมยังทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ
เห็นแก่ตัวก็เท่านั้น โลภมาก มัวเมาในอบายมุข
เมื่อได้รู้ได้เห็นทั้งหมดที่เป็นคุณสมบัติของมนุษย์แล้ว
สารภาพตามตรง....
ผมไม่คิดที่จะกลัวผีอีกเลย.
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่