การมีสติ-ใช้สมาธิ-ปล่อยวางคือทางออก
การมีสติ-ใช้สมาธิ-ปล่อยวางคือทางออก
สมัยก่อน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง เป็นปัญหาของสังคม แต่สมัยนี้อาจบอกว่าโรคดังกล่าวสามารถรักษาให้หายได้ด้วยวิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ แต่โรคทางจิตใจ เช่น โรคจิตเภท โรคประสาท โรคซึมเศร้า กลับเป็นปัญหาของสังคมและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ น.พ.ประเวช ตันติพิวัฒนสกุล แห่งกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ปัญหาของสังคมที่เปลี่ยนสภาวะเครียดเพิ่มมากขึ้น และพบว่าคนที่ฆ่าตัวตายมักเป็นวัยผู้ใหญ่หรือวัยกลางคน กลับกลายเป็นวัยรุ่น ซึ่งพบข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
กล่าวกันว่า ตั้งแต่เรียนก็หวังเพื่อให้ได้คะแนนสูงๆ มาทำงานพยายามที่จะดิ้นรนเพื่อให้ตนเองได้รับการเลื่อนขั้นที่ดี หรือเกรดเอ.....
มองถึงด้านการหล่อหลอมการเยียวยาจากครอบครัวก็มีน้อย เห็นจากครอบครัวสมัยนี้พ่อแม่แยกทางกัน หย่าร้างกัน ท่านทราบไหมว่า โรงเรียนอนุบาลในกรุงเทพมหานคร เด็กที่พ่อ-แม่ได้เลี้ยงดูจริงๆ จะมีสักกี่ราย... เติบโตก็พยายามที่จะให้อายุตนเองยืนยาวนาน สรรหาอาหารมารับประทานมีคุณค่าเพื่อบำรุงร่างกาย แต่อาหารทางใจส่วนมากแล้วจะขาดหรือมองข้ามเพราะเห็นว่าอาจไม่สำคัญ รอไปก่อน อายุมากกว่านี้แล้วค่อยคิดใหม่
ในขณะที่ท่านทำงานก็มีความทุกข์กับงาน กลับบ้านก็ทุกข์กับสมาชิกในบ้าน ทุกข์กับการอยู่คนเดียว แต่ก็ทราบอีกไหมว่า ร่างกายของคนเราประกอบไปด้วยกาย จิต สังคม และจิตวิญญาณ หากขาดอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วทำให้รู้สึกว่าขาด
ข้อมูลจากสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ แนะนำว่า การหาทางออกโดยไม่ต้องลงทุน อันเพื่อตนเองให้มีความสุข งานที่กระทำราบรื่นไปได้ด้วยดี และคนรอบข้างมีความสุข คือ
1. การใช้สมาธิ ลองคิดดูเมื่อรู้สึกเหนื่อยจากการทำงาน งานก็จะผิดพลาดเป็นประจำ คิดอะไร เขียนอะไร จำอะไรก็ไม่ดี จิตใจหวั่นไหว ใครมาพูดกระทบแสดงความไม่พอใจ กล่าวกันว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นต้องใช้ความอดทน การนั่งเฉยๆ แล้วเอาจิตมาผูกกับลมหายใจ เพียงแต่รับรู้ลมหายใจเข้าออก เข้าก็รู้ ออกก็รู้ ที่เป็นจริง ต่อเนื่อง ตามลมหายใจ ความคิดก็ค่อยๆ ไตร่ตรองแล้วก็หายใจเงียบๆ ประมาณ 5-10 นาที
2. การสวดมนต์ กล่าวว่า จะทำให้จิตใจของเรายึดมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย เป็นการฝึกจิตให้สงบ และมีสมาธิ จากการวิจัยของ น.พ.อีริค แลนเดอร์ ซึ่งเป็นแพทย์ทหารของกองทัพสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หากรู้จักปลีกเวลาสัก 1 ชั่วโมง หลายๆ ครั้งต่อสัปดาห์เพื่อการสวดมนต์เชื่อว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย และสุขภาพกายและสุขภาพจิตจะดี
3. การอยู่กับปัจจุบัน คือการแผ่เมตตา ปรารถนาดีซึ่งมีอยู่จริงๆ ในจิตของเรา ทำให้น้อมจิตแผ่เมตตา แบ่งความสุขไปยังทุกคนในที่ทำงานทุกทิศทุกทาง โดยทำความรู้จักกับลมหายใจเข้าออกให้ชัดเจน ใครที่ทำให้เราทุกข์ใจ ร้อนใจ ขัดเคือง เราก็ให้อภัยเขา ไม่เอามาคิด ที่จะทำให้ใจของเราเป็นสุข ไม่มีเวรและเป็นภัยต่อกัน
4. การมีสติ พุทธพจน์ที่ว่า ดูก่อนภิกษุ ตถาคต กล่าวว่าสติช่วยในกิจทั้งปวง และสติสามารถฝึกและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นตัวยับยั้งไม่ให้จิตฟุ้งซ่าน การมีสติเป็นการพัฒนาฝีมือของเรามากขึ้น หากแม้จะไม่สงบก็ลดความฟุ้งซ่านได้ เช่น ขณะกำลังพิมพ์งาน ความวุ่นวายของคนรอบข้างจะเข้ามา แต่เราอยู่ด้วยใจที่จดจ่อจับกับลมหายแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง
5. การปล่อยวาง คือการไม่จมอยู่กับงานจนมั่นหมายเป็นบ้า ไม่หมกมุ่นอยู่กับอดีตที่ผ่านไป อนาคตที่ยังมาไม่ถึงและการสลัดตนให้พ้นจากความรู้สึก หรือภาพประทับใจเก่าๆ ที่มาเกาะกุมจิตใจโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่แนะนำมาเบื้องต้นไม่ข้อใดข้อหนึ่ง สามารถกระทำเองได้โดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินทอง จะมีประโยชน์ 2 ส่วน คือ ตัวเราเองมีความสุข ความสัมพันธ์กับเพื่อนรอบข้างก็ดี งานก็สำเร็จสัมฤทธิผล มีคุณค่าต่อสังคม เพราะว่ารู้จักนำธรรมะมาใช้กับงานอย่างถูกต้อง
(คัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง คอลัมน์ : ชีวิตและสุขภาพ น.พ.สุรพงศ์ อำพันวงษ์)
ทุกคนสามารถอ่าน ติดตามได้ที่ http://www.facebook.com/athingbook
ถูกใจเพจ facebook http://www.facebook.com/AThingBooks?ref=hl
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่