เด็กดีของทุกคน
เขียนโดย : กะว่าก๋า
ฉันเป็นเด็กดี
ฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่
ฉันเรียนเก่ง และสอบได้ที่ 1 ทุกครั้ง
(ฉันจึงต้องสวมแว่นตาหนาเตอะตั้งแต่ยังไม่โตเต็มวัย)
ฉันเป็นเด็กดีของครู
ฉันไม่ดื้อ ไม่ซน ฉันเชื่อฟังครูทุกถ้อยคำ
ฉันเป็นตัวแทนนักเรียนไปแข่งขันทักษะทางวิชาการ
ฉันสร้างชื่อเสียงโด่งดังให้กับโรงเรียน
(ฉันจึงเป็นเด็กที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก
เพราะวันๆมัวแต่นั่งท่องตำรับตำรามากมาย
จนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนและออกกำลังกาย)
ฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่
ฉันสอบเทียบได้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก่อนอายุถึงเกณฑ์ที่เขาบังคับ
(ฉันจึงมีเพื่อนน้อยมาก เพราะปรับตัวเข้ากับเพื่อนอายุมากกว่าไม่ได้)
ฉันเป็นเด็กดีของอาจารย์
ฉันไม่ดื้อ ไม่ซน เรียนเก่งและขยัน
ฉันเรียนเก่งมากระดับได้เกียรตินิยมเหรียญทอง
(แต่สุขภาพร่างกายและจิตใจของฉันกลับสวนทางอย่างสิ้นเชิง
กับตัวเลขในสมุดพก)
ฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่
ฉันไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน
ไม่มีคนรัก ไม่มีเพื่อน
แต่ฉันมีข่าวดีจะบอก....
พ่อกับแม่หาว่าที่เจ้าสาวให้ฉันได้แล้ว
(ฉันมีอายุเกือบสี่สิบ บุคลิกชอบเก็บตัว ทำงานเก่งและมีฐานะที่ดีมาก)
ฉันเป็นเด็กดีของภรรยา
ฉันเชื่อฟังเธอทุกคำ ทำตามทุกอย่าง
ไม่เคยโต้แย้ง ยอมทุกเรื่อง ตามใจทุกสิ่ง
(แต่ฉันก็มีชีวิตคู่ที่ไม่ราบรื่นนัก เหมือนฉันเติมเต็มความรักไม่ได้สักครั้ง
กับสิ่งที่มีอยู่...ฉันไม่กล้าที่จะเรียกมันว่า “ความรัก” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ)
ฉันเป็นเด็กดีของพ่อแม่
ฉันเริ่มโต้เถียงพ่อแม่ คนใกล้ชิดที่มีน้อย ยิ่งห่างหายไปทีละคนๆ
เพราะทนความเจ้าอารมณ์ของฉันไม่ไหว
บ่อยครั้งฉันด่าพ่อแม่จนร้องไห้ ทุบตีภรรยาและลูกอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ไล่ลูกน้องออกเป็นว่าเล่นโดยไม่มีเหตุผล
(บางคนบอกว่าฉันมีอาการทางจิตอย่างรุนแรง
สุขภาพของฉันยิ่งย่ำแย่ลงกว่าเดิม
ฉันมีโรคประจำตัว 4-5 โรคสุมอยู่เต็มร่างกาย)
เด็กดีของพ่อแม่กำลังป่วยหนัก
ฉันเครียดและไม่มีความสุขในการใช้ชีวิต
เด็กดีของครูอาจารย์กำลังป่วยหนัก
ฉันเกลียดตัวเอง และไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของความทุกข์อยู่ตรงไหน
เด็กดีของภรรยากำลังป่วยหนัก
ฉันโกรธและโทษตัวเองที่ไม่รู้จักความรักที่แท้จริง
เธอทิ้งฉันไป ฉันโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา
ฉันกำลังป่วยหนัก....แต่ฉันเป็นเด็กดี ?
ฉันกำลังป่วยหนัก....
และตอนนี้...ฉันไม่อยากเป็นคนดีเพื่อใครอีกแล้ว
ฉันรู้...ว่าเพราะอะไร ?
………………………………
บางครั้งผมแค่นั่งสงสัยว่าทำไมเราต้องคาดคั้นและยัดเยียด
“ความเก่ง” ให้กับเด็กมากมายขนาดนั้น
เรียนในเวลาปกติก็แทบกระอักเลือด
เลิกเรียนยังต้องเรียนพิเศษจนดึกดื่น
ฯลฯ
ผมเฝ้ามองพ่อแม่หลายคนพยายามสร้างลูกให้เป็น
“เด็กเก่ง” และ “อัจฉริยะ”
เหมือนพยายามจับยัดความฝันของตัวเองไว้บนบ่าทั้งสองของลูก
ต้อง “เก่ง” พ่อถึงจะรัก
ต้อง “มีความสามารถ” แม่ถึงจะรัก
....พ่อแม่คิดและตัดสินใจแทนลูกไปเสียทุกอย่าง
ว่า “ควร” และ “ไม่ควร” ทำอะไร...
....................................
ผมอาจเป็นเด็กในประเทศนี้เพียงไม่กี่คน
ที่ไม่เคยเรียนพิเศษ ไม่เคยกวดวิชา
ผมชอบอะไรผมก็ทำ โชคดีที่พ่อแม่ไม่เคยบังคับ
ไม่เคยเรียกร้องว่าลูกต้องสอบได้ที่หนึ่งของชั้น
ผมตั้งใจเรียนในห้องมาก
และเมื่อถึงเวลาเล่น ผมก็เล่นจริงๆ
อยากวาดรูปก็วาด โดยไม่ต้องถูกบังคับ
อยากเล่นกีต้าร์ ก็เล่นเพราะอยากเล่นเป็นจริงๆ
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า
จนถึงทุกวันนี้ สิ่งต่างๆที่ผมทำ ก็ยังคงทำได้ต่อเนื่องยาวนาน
เพราะเมื่อเราชอบ เราจะอยู่กับมันโดยไม่ฝืนความรู้สึกของตัวเอง
ผมคิดว่าถ้าครูอาจารย์มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริง
เขาต้องสอนนักเรียนในห้องอย่างหมดภูมิที่ตัวเองมีอยู่
ถ่ายทอดความรู้โดยไม่มิบเม้มเพื่อเปิดคอร์สเอาเงินค่าเรียนพิเศษอีกครั้งจากพ่อแม่ผู้ปกครอง
ถึงจะมีครูแบบนี้อยู่น้อย แต่ผมก็เชื่อว่ามี
ไม่ว่าใครจะมองว่าแปลกแยกหรือไม่
ผลการเรียนของผมเป็นเครื่องยืนยันได้..
“ที่ 1 ของรุ่น” แต่ผมเป็นที่หนึ่งที่มีความสุขในชีวิตเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งเรียนและทำกิจกรรม
โดยไม่ต้องแบกชีวิตไปถมทิ้งอยู่แต่ในห้องเรียนกวดวิชา
หรือกิจกรรมอย่างอื่นที่ผมไม่อยากทำ
.................................
ระบบการศึกษาที่ป่วย
ย่อมผลิตแต่นักเรียน นักศึกษาที่ป่วยไข้ออกมาเกลื่อนกล่นเต็มบ้านเต็มเมือง
เราจึงมีสังคมที่อุดมไปด้วยคนป่วย
....ผมไม่รู้ว่าประเทศชาติจะอยากได้ “คนเก่ง” ออกมาเยอะแยะมากมายทำไม
“คนเก่ง” ในนิยามของการเป็นคนที่ฉกฉวย ช่วงชิง
เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว และไร้ซึ่งศีลธรรมจรรยา
แทนที่จะคิดสร้าง “คนดี”
....เพื่อเป็นน้ำดีมาชำระล้างสังคมเน่าเหม็นที่เป็นอยู่
ให้สะอาดเอี่ยมอ่องขึ้นมาบ้างสักนิดก็ยังดี.
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่