โลกนี้มีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้มากมาย
เขียนโดย : กะว่าก๋า
มีสองสามเรื่องที่ค้างคาในใจมานาน
บางครั้งผมอยากหาคำตอบให้ใจตัวเอง
แต่มาคิดๆดูแล้ว
บางทีการปล่อยให้คำถามวางอยู่ตรงนั้น
โดยที่เราเป็นเพียงผู้เฝ้ามองดู
คำตอบอาจคลี่คลายและเฉลย...ด้วยตัวของมันเอง
.................................
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งเป็นชาวไทยภูเขา
บ้านเขาอยู่บนดอย
เมื่อก่อนนี้เขายากจนมาก
แต่พอหลังจากการท่องเที่ยวนำคนขึ้นไปอย่างมากมาย
ครอบครัวของเขาก็จัดอยู่ในฐานะของคนร่ำรวยทันที
ที่บ้านของเขามีรถกระบะขับ
ในขณะที่พวกผมยังขี่รถมอเตอร์ไซด์ต๊อกกะต๋อย
บ้านบนดอยนั้นมีกระทั่งดาวเทียม
ในยุคนั้นมีแต่คนรวยเท่านั้นที่สามารถติดตั้งดาวเทียมได้
ครั้งหนึ่งเขาบอกผมว่า
ถ้าเรียนจบจะไม่ขึ้นไปอยู่บนดอยแล้ว
ผมพอคิดได้อยู่ว่าทำไม
“วัฒนธรรมแบบคนเมือง” คงเปลี่ยนตัวตนของเขาไปแล้ว
“รำคาญ...เจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาขอร้องว่าอยากให้แต่งชุดชาวเขาขายของ
แถมยังไม่ให้ติดดาวเทียมอีก ใครจะไปอยู่กระท่อมใบตองตึงตลอดชีวิตวะ”
เขาว่า
“ยีนส์ก็ใส่ไม่ได้ มีเงินแล้วทำไมต้องทำตัวจนวะ”
ผมได้แต่อึ้ง แต่คิดตามไปแค่ว่า
เออ....จริงของมัน
เงินก็ได้มาจากการค้าขายที่สุจริต รวยแล้วทำไมมีความสุขไม่ได้
หรือว่า วิธีคิดแบบนี้มันผิด เราต้องอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมเอาไว้สิ
ก็เพราะชุดแต่งตัวแบบพื้นถิ่น บ้านแบบเก่า
วิถีชีวิตแบบเก่าไม่ใช่หรือที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ขึ้นมา
แค่ความคิด ยังไม่ทันพูด เพื่อนก็ตอบขึ้นมาก่อน
“กูอยากให้พวกมัน (เจ้าหน้าที่) มาเป็นอย่างกูบ้าง ดูสิมันจะอยากสบายบ้างมั้ย”
คำตอบมันยิ่งทำให้ผมหุบปากอย่างสนิท
โลกนี้ก็ไม่ได้มีคำตอบสำเร็จรูปสำหรับเราเสมอไป
..............................................
น้องสาวมาปรึกษาเรื่องอยากทำค่ายอาสา
พานักศึกษารุ่นน้องไปออกค่ายที่บนดอย
ไปสร้างห้องน้ำให้เด็กชาวเขา
ผมถามว่า “แล้วรู้ได้ไงว่าเขาอยากได้ห้องน้ำ”
น้องสาวเริ่มอึ้ง...
“เป็นความอยากของเราฝ่ายเดียวหรือเปล่า ?
เกิดเขาไม่อยากได้ แต่พูดกับเราไม่ได้
ที่สร้างไว้ไม่เป็นของเสียเปล่าหรือ ?
โรงเรียนไปสร้างๆกันไว้ ครูดอยมีขึ้นไปสอนซะที่ไหน
เดี๋ยวก็เหมือนนักการเมืองโง่ๆที่เอาเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแจกโรงเรียนบ้านนอก
ครูก็เปิดเครื่องไม่เป็น สอนก็สอนไม่ได้
ที่ปัญญาอ่อนก็คือ ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึงเลย”
ผมร่ายยาว
“ไอ้ที่ขึ้นไปสร้างนู่นสร้างนี่ ถ้าไปด้วยความตั้งใจก็ไม่เป็นไรหรอก
ไปเมาไปกินเหล้า ไปนั่งเล่นกีตาร์
หรือไปแจกขนมเด็กแค่นั้นแล้วก็กลับหรือเปล่า ?”
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมเห็นปัญหาที่ซ้ำซากนี้
หลายครั้งเป็นการไป “เพื่อความสนุกสนานของตัวเอง”
ไม่ได้เป็นการไป “เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้ผู้อื่น”
ไม่ได้ทำให้เสียความตั้งใจ
แต่ผมไม่อยากให้เขาใช้วิธีคิดแค่ว่า
เราไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ ทั้งๆที่ไม่รู้จริงๆว่า
สิ่งที่เราทำให้เขานั้น เขาต้องการจริงๆหรือเปล่า
ไม่เช่นนั้น มันแค่เหมือนเราทำความดีเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี
แล้วอย่าไปลำเลิกบุญคงบุญคุณอะไรเลย
ว่าฉันสร้างโน่น สร้างนี่ให้ชาวดอย
เขาอาจนั่งเราะมองดูห้องน้ำประจำหมู่บ้าน
แล้วก็ถือกิ่งไม้ ไปนั่งปลดทุกข์บนดอยเหมือนเดิมก็ได้ใครจะไปรู้
........................................
ให้ปลาฉันหนึ่งตัว
ฉันมีกินไปหนึ่งวัน
สอนฉันจับปลา
ฉันมีกินหนึ่งเดือน
สอนฉันเลี้ยงปลา
ฉันมีกินไปตลอดชีวิต
ครั้งหนึ่งนิรลม เมธีสุวกุล
พิธีกรรายการโทรทัศน์เดินทางเข้าไปถ่ายทำรายการในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เมื่อเห็นป้าคนหนึ่งถือปลาตัวหนึ่งเดินเข้ามา
จึงทักทายไปว่า
“ปลาตัวใหญ่จังนะคะคุณป้า คงจะทำกับข้าวได้หลายอย่างเลย”
คุณป้าท่านนี้จึงถามกลับไปว่า
“รู้มั้ย ทำอย่างไรปลานี้จึงจะมีกินได้นานที่สุด”
ทีมงานพยายามช่วยกันตอบ
ทั้งทำเป็นปลาร้า เอาไปตากแห้ง หมักเกลือ
คุณป้าส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนที่จะตอบว่า
“ปลาตัวนี้จะกินได้นานที่สุด ต้องเอาไปแบ่งบันคนในหมู่บ้าน
เพราะเมื่อคนอื่นหาปลามาได้ เขาก็จะแบ่งเรากินเหมือนกัน”
.....................................
โลกนี้มีสิ่งที่เราต้องเรียนรู้มากมาย
ใช่....สำหรับผม
การวางคำถามไว้ โดยไม่ต้องเค้นค้นหาคำตอบ
ก็ดูเป็นวิธีที่เหมาะที่ควรแล้ว.
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่