บทความทั่วไป

รู้..ไม่รู้....รู้ไม่จริง

กะว่าก๋า

เขียนโดย : กะว่าก๋า

 

 



เราให้ความสำคัญกับการมีชีวิตอยู่
มากกว่าครุ่นคิดถึงการใช้ชีวิต

เราให้ความสำคัญกับความสำเร็จ
มากกว่าวิธีที่ได้มันมา

เรามุ่งแสวงหาความรักลวงๆ
มากกว่าเลือกที่จะแสดงออกซึ่งความรักที่จริงใจ

เราแสวงหาคำตอบ
โดยไม่แยแสต่อคำถาม

เราจึงรู้...เท่าที่เรารู้
เราจึงไม่รู้...ว่าเราไม่รู้
หรือหากเรารู้....ก็รู้ไม่จริง



 



……………………………………
 

 

 



หลายปีก่อน
ยุคหนึ่งเราเชื่อว่าหากใครได้เป็นหนึ่งใน Baby Boom
หรือ Yuppy ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิต
กลุ่มคนเหล่านี้ต้องประกอบไปด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้

- เรียนจบจากสถาบันมีชื่อเสียง ด้วยคะแนนที่เป็นเลิศ
- สร้างตัวเองจากงานเท่ห์ๆ เงินเดือนสูงๆ
- มีบ้านหลังใหญ่ คอนโดหรูกลางเมือง
- มีรถเก๋งคันใหญ่
- มีบัตรเครดิตการ์ดหลายใบ
- มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจที่กว้างขวาง
- มีคู่ควงที่สวยเริ่ด หรือหล่อ เป็นคนดังในวงสังคม


ผมไม่รู้การศึกษาแบบไหนที่หล่อหลอมวิธีคิดแบบนี้
ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเป็นแนวคิดแบบ “ทุนนิยม” หรือ แบบ”พอเพียง”
แบบไหนก็แย่พอกัน...ถ้าสอนให้คิดแบบเอาชีวิตไปผูกติดกับ
ความสำเร็จทางด้านวัตถุ
เพราะยิ่งคนอยากรวยด้วยวิธีแบบแปลกๆ แบบเร่งร้อนมากเท่าไหร่
เรายิ่งได้เห็นอาการตะกลุมตระกรามในความอยากประสบความสำเร็จ
และผลของมันก็จบลงแบบไม่สวยงามทุกครั้งไป

เราถึงได้เห็นนักเล่นหุ้นยิงตัวตายพร้อมเมียและลูกอีกสามคน

เพียงแค่หุ้นตกสามวัน

 



แล้วเราก็ได้เห็นหญิงสาวที่พร้อมจะแก้ผ้า
เพื่อแลกกับความดังชั่วข้ามคืน

 



เราถึงได้มีนักศึกษาที่ยอมนอนกับชายแปลกหน้า
เพียงเพื่อจะได้มีสิ่งของเครื่องใช้ไว้ประชันขันแข่งกับเพื่อน

 



การศึกษาแบบไหนหนอ...

ที่ผลิตคนออกสู่สายพาน ป้อนเข้าสู่สังคมด้วยวิธีคิดแค่ว่า


“ใครเป็นไงกูไม่สน ขอกูดัง ขอกูรวยก็พอ”
 

 


วิธีคิดแบบนี้หรือเปล่า
ที่ทำให้เด็กต้องเรียนๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
เสร็จแล้วก็ต้องพาตัวเข้าสู่คอกของการกวดวิชา
เรียนจบต้องไปเรียนบัลเล่ท์ เรียนศิลปะ เปียโน ขี่ม้า ฯลฯ
เพียงเพื่อเติมเต็มความฝันในวัยเด็กของพ่อแม่
เตรียมเป็นหัวข้อสนทนาในการประชันขันแข่งระหว่างพ่อแม่กับพ่อแม่ด้วยกัน
เราถึงได้มีแต่เด็กที่ทำทุกอย่างไปตามสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ
จากนั้นก็รีบ เร่ง เรียนให้จบ
ออกจากสายพานเพื่อเข้าสู่สังคม......

เพราะวิธีคิดแบบนี้หรือเปล่า
สังคมถึงได้พิกลพิการแบบนี้
เพราะแบบนี้หรือเปล่า สังคมถึงได้เต็มไปด้วย พวกความฝันพิกลพิการ
พวกที่มีบาดแผลในวัยเด็ก
แล้วต้องมานั่งเติมเต็มด้วย


“วัตถุสิ่งของ หน้าตาทางสังคม ความร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง”

นี่เป็น “ความรู้” ที่ใครจัดให้กับคนในสังคมของเรา
นี่คือ “ความเชื่อ” ที่ใครยัดเยียดให้กับเด็กของเรา
นี่คือ “ตัวตน” ที่ใครกำหนด

ถ้าการศึกษายังทำหน้าที่ของตัวเองได้เท่านี้
ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่จะหวังให้สังคมของเรา “ดีงาม” ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
หรือว่าทำได้เพียงแค่พึมพำว่า
“แค่สังคมไม่เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ ก็ดีถมถืดแค่ไหนแล้ว”

หรือด้วยความเป็นคนไทย
เราทำได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วนั่งฝันกันไปว่า
ถึงวันหนึ่งเดี๋ยวการศึกษาของเรามันก็ดีขึ้นเอง



“เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง....”


ถ้าถึงตอนนั้นแล้วผมยังไม่ตาย
คุณช่วยสะกิดบอกผมให้รู้ตัวด้วยก็แล้วกัน
...ขอบคุณล่วงหน้า




กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่