บทความทั่วไป

หลายปีต่อจากนั้น...

กะว่าก๋า

 

เขียนโดย : กะว่าก๋า

 




สิบปีที่แล้วผมทำหนังสือทำมือ 100 เล่ม
แจกอาจารย์และเพื่อนๆ
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “สองปีที่ฝันร้าย”
วิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ซึ่งผมได้ใช้ชีวิตที่นั่นสองปีเพื่อแลกกับปริญญาตรี

เนื้อหาในหนังสือ...
เต็มไปด้วยถ้อยคำรุนแรงที่วิพากษ์ระบบการศึกษาที่ล้มเหลว
(ในความรู้สึกของตัวเอง ณ เวลานั้น)
ด่าทอเพื่อนฝูง ที่ไม่เป็นไปอย่างที่ตนเองคาดหวัง

หนังสือเล่มนี้สร้างแรงกระเพื่อมให้เกิดขึ้นไม่มากก็น้อย
ทั้งกับอาจารย์ที่มีปัญหากับผม คณบดี เพื่อนฝูง รุ่นน้อง
คนที่ชอบแนวความคิดนี้ก็จะยืนข้างผม ชอบและศรัทธากัน
ส่วนคนที่ถูกตำหนิ แน่นอน...ย่อมเกลียดชังและไม่พึงพอใจ


 


......................................
 

 



ผมเชื่อมั่นใน “ความถูกต้อง” ตามมาตราฐานของผมอยู่นานหลายปี
ก่อนจะค้นพบความจริงที่ว่า

เรื่องราวบนโลกนี้มันยอกย้อนซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมายเพียงไร
“ความจริง” ที่เราเชื่อ มันไม่จำเป็นต้องเป็นไปอย่างที่เราคิด
“ความคิด” ที่เราเชื่อ

ก็ไม่ใช่เหตุผลที่คนอื่นต้อง “เชื่อ” และ “คิด” เหมือนกันกับเรา.....

 



กว่าจะย่อยความคิดแบบนี้ได้
กว่าจะมองโลกตามสภาพที่มันเป็นจริง
ก็ใช้เวลาเนิ่นนาน
แถมยังต้องประคับประคองความคิดของตัวเองให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ซึ่งก็ไม่ง่ายเลย.....


 


.........................................
 

 



หลายวันก่อนนั่งคุยกับรุ่นน้องคนหนึ่ง
อยู่ๆเขาก็ย้อนกลับไปชวนคุยถึงหนังสือที่ผมเคยเขียนไว้


“ผมชื่นชมพี่มากเลยครับ หนังสือเล่มนี้ผมชอบมาก” รุ่นน้องว่า


“ชอบอะไร” ผมถาม


เขาบอกเล่าถึงความแรงในความคิดของผม ณ เวลานั้น
ชอบที่ผมวิพากษ์วิจารณ์การศึกษาอย่างตรงไปตรงมา
ชอบที่สุดตอนที่ผมด่าอาจารย์ได้อย่างถึงใจ
ผมนั่งฟังเขาเงียบๆ....


“เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว” ผมรอดูปฎิกริยาจากรุ่นน้อง


เขาทำหน้าประหลาดใจในคำพูดของผม
ผมพูดต่อไป ....


“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมอาจไม่เขียนหนังสือเล่มนี้
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับคนอื่นเลย
นอกจากตัวผมที่ได้รับความสะใจเพียงคนเดียว”


เขาทำหน้าอึ้ง....


“ถ้าเลือกได้ ผมอยากทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่านี้
อาจเลือกเข้าไปคุยดีดีกับอาจารย์ที่ผมมีปัญหาด้วย
หรือไม่ก็ขอเข้าพบคณบดีเพื่อพูดคุยกับท่าน
ไม่ใช่ไปนั่งทำนิทรรศการประจานตัวเองและคณะแบบนั้น”


ท่ามกลางบทสนทนาที่เงียบงัน ผมพูดต่อ


“ผมแค่คิดว่าตอนนั้นเราเด็กและแรง

ทำอะไรด้วยอารมณ์ มากกว่าเหตุผล
แต่อย่าถามผมว่า ผมเสียใจหรือเปล่า ?...
ผมคิดว่า ณ เวลานั้น นี่คือคำตอบที่ถูกต้องที่สุดแล้วสำหรับผม
หวังว่าคุณและเพื่อนๆคงเข้าใจ”


 

 


................................................
 

 



หลายปีต่อจากนั้น
หลังจากที่ “สองปีที่ฝันร้าย” ติดค้างอยู่ในใจมาหลายปี


ผมพบว่าเมื่อตัวเองเปลี่ยนวิธีคิด
“ฝันร้าย” นั้น นอกจากหายไปแล้ว
ยังมอบ “ปัญญา” และ “วิธีคิด” กลับคืนมาสู่ตัวผมอีกครั้ง





กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่