" ปล่อยเมื่อไร สบายเมื่อนั้น "
" ปล่อยเมื่อไร สบายเมื่อนั้น "
เธอครองชีวิตร่วมกับเขามานานกว่า ๑๐ ปี แล้ววันหนึ่งก็พบว่าเขาปันใจให้หญิงอื่น เธอจึงแยกทางจากเขา แต่เขาหาได้ไปจากจิตใจของเธอไม่
ทุกครั้งที่นึกถึงเขา เพลิงแค้นก็ลุกท่วมหัวใจ เธอแค้นที่ถูกเขาทรยศ แค้นที่เขาทำลายชีวิตที่ดี ๆ ของเธอ ยิ่งนึกก็ยิ่งรุ่มร้อน จนอยากตบ อยากทำร้าย อยากทำลาย “มัน”
เธอหันหน้าเข้ากรรมฐาน แต่ความแค้นยังตามมารังควานเธอ แม้เรื่องจะจบไปนานแล้ว แต่เธอไม่ยอมจบด้วย ใจยังหวนกลับไปขุดเรื่องราวในอดีตให้มาทิ่มแทงเธอไม่หยุดหย่อน
เสียงด่าดังก้องอยู่ในใจทั้ง ๆ ที่รอบตัวมีแต่ความเงียบสงบแต่ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน มีเกิดก็มีดับ
ตอนนั้นเธอกำลังเดินจงกรม มือประสานกันที่ท้อง เธอรู้สึกว่าเมื่อยเหลือเกินเพราะกุมมือในท่านั้นนานเป็นชั่วโมงแล้ว จึงปล่อยมือลง
ทันทีที่ปล่อยความเมื่อยก็หายไป ความรู้สึกสบายกายสบายใจเกิดขึ้นตามมา ชั่วขณะนั้นเองเธอได้ประจักษ์แก่ใจว่า “แค่ปล่อย เราก็ไม่ทุกข์อีกต่อไป”
แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา วินาทีนั้นเองที่เธอระลึกขึ้นได้ว่าสาเหตุที่เธอคับแค้นไม่เลิกราก็เพราะไปยึดติดกับเรื่องราวในอดีตอยู่ตลอดเวลา
เป็นเพราะเธอไม่ยอมปล่อยมันไปนั่นเอง เธอจึงทุกข์แล้วทุกข์เล่า เมื่อคิดได้เช่นนี้เธอจึงปล่อยมันออกไปจากใจทันที
เธอเล่าว่าในการปล่อยมือครั้งนั้น เธอได้ปล่อยความแค้นและเรื่องราวในอดีตระหว่างเธอกับเขาไปด้วย จิตใจบังเกิดความเบาสบายสงบเย็นขึ้นมาทันที
มือที่กุมไว้นาน ๆ ย่อมเมื่อยฉันใด ใจที่ยึดไว้ไม่เลิกรา ย่อมเป็นทุกข์ฉันนั้น ไม่มีอะไรที่จริงยิ่งไปกว่านี้ แต่ความจริงง่าย ๆ อย่างนี้น้อยคนจะตระหนัก
ทั้งนี้ก็เพราะเราคุ้นชินกับการยึดจนเป็นนิสัย อะไรก็ตามที่ติดเป็นนิสัยแล้ว เรามักจะทำไปโดยไม่รู้ตัว คนที่เคร่งเครียดจนเป็นนิสัย
ก็เอาแต่เคร่งเครียด หน้านิ่วคิ้วขมวด เกร็งมือเกร็งคอ ไปโดยไม่รู้ตัว
แม้จะรู้สึกเมื่อยล้า ก็หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะนิสัยดังกล่าวนั่นเอง แต่ทันทีที่รู้ตัวและผ่อนคลายลง เขาก็จะรู้สึกสบายทันที
อะไรก็ตามถ้าเราไปยึดติดแบกถือแล้ว ล้วนทำให้เป็นทุกข์ทั้งนั้น แม้ว่าสิ่งนั้นดูเหมือนเล็กน้อยไม่สลักสำคัญ แต่ก็ประมาทไม่ได้ สิวเพียงไม่กี่เม็ด
ถ้าไปหมกมุ่นครุ่นกังวลกับมันทั้งวันทั้งคืน ก็สามารถทำให้เด็กสาวฆ่าตัวตายเพราะความอับอายได้ ดังเคยเป็นข่าวมาแล้ว
มีเรื่องเล่าว่าชายผู้หนึ่งเข้าไปกราบทูลระบายความทุกข์กับสมเด็จพระสังฆราชเจ้าพระองค์หนึ่ง เขาเอาแต่บ่นว่า “หนักครับ.....ช่วงนี้แย่มากเลยครับ”
เมื่อสมเด็จ ฯ ถามว่าหนักเรื่องอะไร เขาก็ทูลเล่าถึงปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าชีวิต สุดท้ายก็ทูลว่า “ตอนนี้ผมจวนจะแบกไม่ไหวแล้วครับ”
สมเด็จ ฯ ฟังสักพัก ก็รับสั่งให้เขานั่งคุกเข่าและยื่นมือทั้งสองออกมาข้างหน้า แล้วพระองค์ก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาวางบนฝ่ามือทั้งสองของเขา แล้วรับสั่งว่า
“นั่งอยู่นี่แหละ อย่าขยับหรือไปไหนจนกว่าข้าจะกลับมา จะเข้าไปข้างในสักประเดี๋ยว”
เขานั่งอยู่ในท่านั้นเป็นเวลานาน แต่สมเด็จ ฯ ก็ยังไม่เสด็จออกมาเสียที จนเขาเริ่มเมื่อยล้า กระดาษดูจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนเหงื่อเริ่มออก
ในที่สุดสมเด็จ ฯ ก็เสด็จเข้ามาประทับที่เดิม แล้วทรงถามชายผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร
“หนักครับ พระเดชพระคุณ เมื่อยจนจะทนไม่ไหว”
“อ้าว ทำไมไม่วางมันลงเสียละ ?” สมเด็จ ฯ รับสั่ง “ก็ไปยอมให้มันอยู่อย่างนั้น มันก็หนักอยู่ยังงั้นนะซี มันจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง”
กระดาษแม้จะบางเบา แต่ถ้าไปยึดถือมันนาน ๆ ก็จะกลายเป็นของหนักจนสู้ไม่ไหว อารมณ์โกรธเกลียด ท้อแท้ กลัดกลุ้ม แม้จะจับต้องไม่ได้ แต่ถ้าไปแบกไว้ทั้งวันทั้งคืน
ใจเรานั่นแหละที่จะแย่ ตรงกันข้ามกับหินก้อนใหญ่ ตราบใดที่ไม่ไปอุ้มไปแบก ก็ไม่มีวันหนัก
เป็นเพราะไม่รู้ตัวใช่ไหมเราจึงเผลอไปแบกหรือยึดความทุกข์เอาไว้ ทั้ง ๆ ที่ยิ่งแบกยิ่งยึดก็ยิ่งทุกข์ แต่ก็ยังไปแบกไปยึดอยู่นั่นเองเพราะทำจนเป็นนิสัยเสียแล้ว
ความรู้ตัวจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขไปสู่หนทางแห่งความไม่ทุกข์ เพราะเมื่อรู้ตัวแจ่มชัดเราก็ประจักษ์แก่ใจว่าได้เผลอแบกยึดอะไรต่ออะไรไว้มากมาย
ถึงตอนนั้นการปล่อยวางก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ฉะนั้นไม่ว่าทำอะไรอยู่ก็ตาม ควรหมั่นมองตนสำรวจจิตเพื่อให้รู้เท่าทันความรู้สึกนึกคิดอยู่เสมอ
ความรู้ตัวนี้แหละจะช่วยปลดเปลื้องสิ่งหมักหมมที่ค้างคาในจิตใจจนทำให้ชีวิตเบาสบาย
เทศกาลปีใหม่มาถึงแล้ว ใคร ๆ ก็อยากได้ของขวัญ แต่ถ้าอยากให้ชีวิตเบาสบาย ไม่มีอะไรดีกว่าการปล่อยวางสิ่งที่ทำความหนักอึ้งแก่จิตใจ
อย่าแบกข้ามปีให้เหนื่อยใจอีกต่อไปเลย
วันนี้สิ่งสำคัญจึงมิใช่คำถามว่าเราได้อะไรมาบ้าง ? แต่ได้แก่คำถามว่าเรา “ปล่อย”ไปมากแค่ไหนแล้ว?
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่