เมื่อผมนั่งลง...แล้วพูดคุยกับ “ชายคนหนึ่ง”
เขียนโดย : กะว่าก๋า
ณ ห้องสมุดเล็กๆของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง
ทุกเดือนจะมีชายคนหนึ่งนำหนังสือมาบริจาค
ผมเคยเจอเข้าบ้าง และมีโอกาสได้ทักทายกัน ได้พูดคุยกัน
คำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นในใจก็คือ
“เขาทำอย่างนี้ไปทำไม ?”
“ทำแล้วได้อะไร ?”
…………………………….
เท่าที่รู้...เขาทำอย่างนี้มาต่อเนื่องยาวนาน
นับถึงวันนี้ก็น่าจะมี 7-8 ปีแล้วที่เขาซื้อหนังสือ
เพื่อไปมอบให้กับห้องสมุดแห่งนี้อย่างสม่ำเสมอ
ด้วยเงินส่วนตัว เขาว่าเดือนหนึ่งจะกันเงินไว้ประมาณ 10 %
ของเงินเดือน เพื่อไปเลือกซื้อหาหนังสือแล้วส่งเข้าสมุด
“เอาตามผมชอบ” เขาว่า “ผมชอบหนังสืออะไรก็ซื้อแบบนั้น”
“แล้วทำไปทำไม ?” ผมเคยถามเขา
“ผมจบจากที่นี่ สมัยก่อนตอนเรียนห้องสมุดเล็กกว่านี้อีก
แล้วเราเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก
ก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า ทำไมหนังสือในห้องสมุดมันน้อยจังเลย”
“เหตุผลเท่านี้เองหรือ ?” ผมจี้ถาม
“เออ...แล้วพอเรียนจบมาได้สักห้าหกปี คณะฯมีโครงการทำห้องสมุดใหม่
มีหนังสือแจ้งถึงศิษย์เก่าขอรับบริจาคเงินหรือหนังสือก็ได้
เพื่อปรับปรุงห้องสมุด ...
ผมก็ลงมือเขียนจดหมายหาเพื่อนร่วมรุ่นแจ้งข่าวขอรับบริจาคหนังสือ
และ ขอบริจาคเป็นเงิน”
“แล้วไง...ได้ผลมั้ย ?” ผมถาม
“ก็มีเพื่อนส่งหนังสือมาให้บ้างไม่มาก” เขายิ้มเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องต่อไป
“หนังสือที่ได้มามันน้อยมาก น้อยจนน่าตกใจ...
ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่า....” เขานิ่งคิดสักครู่
“คิดแบบง่ายๆ ไม่ต้องไปโกรธเพื่อนที่ไม่ค่อยอยากช่วย
ทุกคนคงเดือดร้อนในเรื่องปากท้องอยู่ ก็เลยไม่สามารถช่วยเหลือได้”
“แล้วคุณรวยกว่าคนอื่นในรุ่นหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก...ผมก็คนทำงาน ตอนเริ่มต้นซื้อหนังสือบริจาคเงินเดือนผม 8000 พันเองนะ
อาศัยว่าบ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ ไม่กินเหล้า
ไม่เที่ยวผู้หญิง ไม่เดินห้าง ยังไงเงินก็พอมีเหลือ”
“แล้วไงต่อ”
“ก็กันเงินไว้สักเดือนละ 800 บ้าง พันนึงบ้าง ซื้อหนังสือเข้าไปบริจาคทุกเดือน”
“ถามจริงๆ...ทำเพื่อชื่อเสียงรึเปล่า ?”
ผมอยากรู้จริงๆว่าคนๆหนึ่งจะทำอะไรโดยไม่มีจุดมุ่งหมายได้อย่างไร
อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความคิด ความเชื่อแบบนี้
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ...
“ตอนแรกผมเอาหนังสือไปให้คณะฯ บอกอาจารย์ว่าไม่ต้องปั๊มชื่อหรอกว่าผมบริจาค
อาจารย์บอกว่าไม่ได้ มันอาจทำให้มีปัญหาในภายหลัง
เช่น เจ้าหน้าที่อาจแอบเอาหนังสือไปเป็นสมบัติส่วนตัว
การปั๊มชื่อไว้ก็เป็นหลักฐานการรับหนังสือ จะได้ถูกระเบียบระบบของราชการ
ใจจริงผมไม่อยากให้อะไรมันยุ่งยาก แล้วแต่...ยังไงก็ได้”
“แล้วเรื่องชื่อเสียง ?” ผมย้ำประเด็นเดิม
“สองสามปีผ่านไป...วันหนึ่งอาจารย์เรียกเข้าไปคุย
แล้วบอกว่าคณะอาจจะเปลี่ยนชื่อห้องสมุดเป็นชื่อผม
เพราะผมบริจาคหนังสือต่อเนื่องมานานพอสมควร
เรียกว่าในห้องสมุดหยิบหนังสือมาสิบเล่ม น่าจะเป็นหนังสือที่ผมบริจาคสัก 5-6 เล่ม
ผมก็เลยบอกอาจารย์ไปคำเดียวว่า ถ้าอาจารย์ทำอย่างนี้
ผมคงไม่มาเหยียบที่คณะฯอีกแล้ว”
เขาเว้นช่วงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“เรื่องก็เลยเงียบไป” เขาสรุปปิดท้าย...
..............................
หลังจากพักดื่มน้ำสักครู่
ผมตั้งคำถามต่อ
“ทำแล้วได้อะไร ?”
“ทำแล้ว..ได้ทำ”
เขาหัวเราะอีก ดูไม่ออกว่าคนแบบนี้มานั่งทำอะไรได้ยาวนานอย่างนี้ได้อย่างไร
“ทำแล้วได้อะไร....ผมหวังว่า.....” เขาเว้นช่วงนั่งนึกถ้อยคำ
“ผมหวังว่าวันหนึ่ง จะมีหนังสือเล่มหนึ่งที่เปลี่ยนวิธีคิดของนักศึกษารุ่นน้องได้
เหมือนกับที่หนังสือบางเล่ม หรือประโยคบางประโยคที่เคยเปลี่ยนชีวิตของผมมาแล้ว”
“หนังสือมีพลังขนาดนั้นเลยหรือ ?” ผมซักต่อ
“สำหรับคนอื่นผมไม่รู้...แต่สำหรับผมมันมี
อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมค้นหาตัวเองเจอ ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต”
“แล้วคุณต้องการอะไรในชีวิต?”
“ผมต้องการมีความสุขในระหว่างการดำเนินชีวิต” เขาว่า
“งั้นการบริจาคหนังสือของคุณก็เป็นการทำเพื่อตัวเองเท่านั้นน่ะสิ”
“ก็แล้วแต่ใครจะคิด ผมเลิกสนใจมานานแล้วว่าใครคิดกับผมยังไง
ผมซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเองก็พอแล้ว”
“จะทำถึงเมื่อไหร่” ผมถาม
“เบื่อเมื่อไหร่...ก็เลิก” เขาว่า
.....................................
ผมจ้องตาเขา ก่อนถามคำถามสุดท้าย
“ถามจริงๆเถอะ หวังอะไรที่ทำแบบนี้ ?”
“อยากรู้จริงหรือ ?” เหมือนเขาจงใจยั่วให้ผมตอบ
ผมพยักหน้า
“ผมหวังว่าคุณหรือใครก็ตามที่รับรู้ในสิ่งที่ผมคิด สิ่งที่ผมทำ
แล้วเห็นด้วยกับมัน....
ผมหวังว่าวันหนึ่งมันจะทำให้คุณหรือใครก็ตามลุกขึ้นมาทำแบบเดียวกับที่ผมทำบ้างไง”
แล้วเขาก็หัวเราะร่วนด้วยความพึงพอใจ
........................................
“ผมหวังว่าวันหนึ่งมันจะทำให้คุณหรือใครก็ตามลุกขึ้นมาทำแบบเดียวกับที่ผมทำบ้างไง”
ประโยคนี้ยังดังก้องอยู่ในหูของผม
บางที...บางทีผมอาจต้องหาโอกาสแบ่งเงินที่มีอันจำกัดจำเขี่ยของตัวเอง
ไปเดินหาซื้อหนังสือเพื่อบริจาคให้ห้องสมุดที่ไหนสักแห่งดูบ้าง
ผมอยากรู้จริงๆ...
ว่าถ้าผมทำได้ยาวนานต่อเนื่องหลายปีแบบเขาแล้ว
....ผมจะรู้สึกยังไง
ปล.
เขาไม่อนุญาตให้ผมนำรูปหรือชื่อเสียงเรียงนามของเขามาเปิดเผย
ผมจำต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้อย่างเคร่งครัด
หาไม่...ผมอาจไม่ได้นั่งคุยกับเขาอีก
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่