ตุงสามหาง
เขียนโดย : กะว่าก๋า
ผมนั่งพนมมือฟังหลวงพ่อเทศนาธรรมในงานศพ
อากาศร้อนอบอ้าว เหงื่อไหลจากหน้าผากลงมาหยดใส่มือ
ขาที่นั่งพับเพียบเริ่มเป็นเหน็บ เจ็บและเมื่อย
เสียงสั่นเครือของหลวงตาเริ่มสาธยายธรรม....
.................................
ในประเพณีของชาวล้านนา
“ตุง” คือ ธงที่ใช้ทั้งสำหรับงานบุญงานรื่นเริง งานมงคล
และงานโศกเศร้าเช่นงานศพ
เวลาที่มีคนตายจากอุบัติเหตุก็จะนำกระทงไปวางและนำตุงไปปักไว้
“ตุงสามหาง” มีไว้สำหรับนำขบวนแห่ศพของผู้ตายไปยังเมรุเผาศพ
เพียงมองผ่าน “ตุงสามหาง” นี้อาจไม่ได้มีความหมายใด
มากไปกว่าสัญลักษณ์อย่างหนึ่งในพิธีศพตามประเพณีและความเชื่อของคนเก่าก่อน
...................................
“ตุงสามหาง”
หางที่หนึ่ง...
หมายถึง “อนิจจัง”
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นอนิจจัง
คืออยู่ภายใต้กฏเกณฑ์เดียวกัน
คือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่ว่าไพร่ ผู้ดี ไม่ว่ากษัตริย์หรือประชาชน
ไม่ว่าพระ ไม่ว่าเด็กหรือชรา ไม่ว่าชายว่าหญิง
ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้
หางที่สอง....
หมายถึง “ทุกขัง”
ชีวิตนี้ล้วนเป็นทุกข์ เป็นความเสื่อม เป็นสิ่งอันยากที่จะยอมรับได้
เขารักก็ทุกข์ ไม่รักก็ทุกข์
มีก็ทุกข์ ไม่มีก็ทุกข์
เป็นก็ทุกข์ ไม่เป็นก็ทุกข์
ได้ก็ทุกข์ เสียก็ทุกข์
ฯลฯ
หางที่สาม....
หมายถึง “อนัตตา”
สภาวะไร้ตัวตน คนเราเกิดมาตัวเปล่า
เมื่อยามเราไปก็ไม่อาจนำสิ่งใดติดตามไปได้
ไปได้แต่ร่างกายสังขารอันเสื่อมสลายผุพัง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมั่นหมายว่า นี่ของฉันนั่นของเธอ
กลับกลายเป็น “ความว่างเปล่า” ในพริบตา
...........................................
หลวงตาเทศน์ด้วยภาษากำเมืองอันเข้าใจได้ยากยิ่ง
ผมพยายามจดจ่อตั้งใจฟัง
ระหว่างที่ทุกคนในงานบ้างพูดคุย บ้างนั่งหลับ
อาการเหน็บหายไป เมื่อเราไม่สนใจมัน
อาการร้อน ช่างมัน...ร้อนก็เรื่องของอากาศ
เหงื่อไหลเดี๋ยวมันก็แห้ง
หลวงตาเทศน์จบแล้ว
ผมไม่รู้คนที่นอนในโลงจะได้ฟังธรรมะนี้หรือไม่
ในขณะที่คนเป็นมากมายไม่ได้ใส่ใจฟัง
หรือเพียงแต่คิดเอาไว้แค่ว่า
ถึงวันหนึ่ง เมื่อ “ตุงสามหาง” นำหน้า
คนที่นอนในโลงนั้นเป็นตัวเรา
แล้วจึงค่อยตระหนักรับฟังความจริงของชีวิต
ถ้าคิดได้แค่นั้น
ก็ต้องบอกว่า น่าเสียดายแทน.
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่