ซิปต้า
เขียนโดย : กะว่าก๋า
เด็กชายซิปต้าอายุห้าขวบ…
แม่ของเด็กคนนี้เป็นชาวไทยใหญ่ที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น
พ่อของซิปต้าเป็นเพียงช่างก่อสร้าง
เป็นแรงงานราคาถูกที่ไม่มีค่ามีความหมายอะไรมากมายนัก
แม่ของซิปต้าเป็นเพียงเด็กหญิงที่พ้นวัยสาวมาไม่นาน
ดิ้นรนจากถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอน
เพื่อวาดหวังอนาคตที่ดีกว่า
อนาคตที่ดีกว่า ?
.............................
วันหนึ่ง...
เมื่อตอนที่ซิปต้าอายุ 3 ขวบ
โลกเล่นตลก และชะตากรรมเริ่มโบยตีชีวิต...
พ่อของซิปต้าถูกรถชนอย่างแรงจนเป็นอัมพาต
ชนแล้วหนี...ดีที่ไม่ถอยรถมาทับซ้ำอีกรอบ
เมื่อคนหนึ่งไม่สามารถทำงานได้
ชีวิตที่ยากลำบากอยู่แล้ว
ยิ่งยากลำบากแสนเข็ญ
บนแผ่นดินที่มิใช่แผ่นดินเกิด
บนแผ่นดินที่ชีวิตถูกตีค่าราคาให้ต่ำกว่าความเป็นจริง
ชะตากรรมช่างโหดร้ายทารุณต่อชีวิตน้อยๆ
เหยียบย่ำครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ความปราณี
วันที่ทุกอย่างดูเลวร้ายที่สุดในชีวิต
สามีเป็นอัมพาต
ลูกไม่มีข้าวกิน
ในบ้านไม่มีเงิน
ไม่มีอนาคต ไม่มีวันพรุ่งนี้
มีแต่ “ความจริง” อันโหดร้ายเถื่อนทารุณจิตใจ
..............................
เรื่องราวของคนชายขอบซึ่งยืนหมิ่นเหม่อยู่ตรงขอบปากเหว
ถูกรับรู้ด้วยชายคนหนึ่งซึ่งมิได้เกี่ยวดองข้องเกี่ยวอันใด
เป็นคนซึ่งเกิดมาคนละผืนแผ่นดิน คนซึ่งแตกต่างด้านฐานะ
และรู้จักกันแค่ในนามของ “เพื่อนร่วมโลก” เท่านั้น
ชายคนนี้เรียกหญิงสาวเข้าพบ
เธอเดินเข้ามาด้วยตัวสั่นงันงก ไม่ทราบเจตนาของชายแปลกหน้า
“กูได้ข่าวมาจากลูกน้องว่าผัวมึงถูกรถชนเหรอ”
“ค่ะ” สำเนียงไทยแปร่งหูดังขึ้น
“แล้วมึงอยู่กันยังไง มีอะไรกินรึเปล่า ตอนนี้ทำอะไรอยู่?”
เสียงพูดดังก้องในห้องทำงานเล็กๆนั้น
เหมือนค้อนที่กระหน่ำทุบหญิงสาวให้ตัวยิ่งหดเล็กลงไปอีก
“หนูยังไม่มีงานอะไรทำเลยค่ะ”
“เอ้า...กูให้มึง” ชายแปลกหน้ายื่นเงินจำนวน 5000 บาทให้
หญิงสาวทำหน้าตื่นตระหนก ไม่เชื่อสายตาตัวเองกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว....
เธอได้แต่นั่งนิ่งที่พื้นห้องเย็นเยียบด้วยระบบปรับอากาศเย็นฉ่ำ
แต่เหงื่อเม็ดโตๆผุดขึ้นเต็มใบหน้า
“มึง เอาไป กูช่วยมึงกับครอบครัวของมึง”
เสียงนั้นคล้ายเสียงตะคอกของเจ้าหน้าที่รัฐมากกว่าเสียงของพ่อพระ
ที่กำลังช่วยชุบชูชีวิตครอบครัวของเธอ
หญิงสาวลังเลอย่างรู้สึกได้ ชายคนนี้หวังอะไรจากตัวเธอ....
จะว่าหวังในร่างกาย เธอย่อมไม่ใช่สาวสวยในแบบที่ผู้ชายพึงหวัง
เนื้อตัวดำเมี่ยมซกมกมอมแมม
ครอบครัวญาติพี่น้องก็ไม่ใช่ แล้วเขาช่วยเราทำไม
เธอคงตั้งคำถามที่หาคำตอบไม่ได้กับตัวเองอยู่
เสียงคุยที่เหมือนเสียงตะโกนกระชากดึงให้เธอกลับมายืนรับรู้ “ความจริง” ตรงหน้า
“มึงเอาไปกินไปใช้จ่าย ไม่พอก็เข้ามาบอกกู… กูจะช่วย”
เธอยื่นมืออันสั่นเทารับเงินก้อนโตที่สุดในชีวิต
เงินที่ดูว่าไม่มากสำหรับคนรวยเหลือกินเหลือใช้
แต่มันคือเงินมหาศาลที่อาจประคับประคองสามชีวิตอันทุกข์ยาก
ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาอันเลวร้ายไปได้สักระยะ
“ขอบคุณค่ะ” น้ำตาไหลพรากสองแก้ม
ไม่มีคำพูดใดมากกว่านั้น.....
แล้วชีวิตก็ดำเนินต่อไป...
.......................................
วันนี้ซิปต้าอายุ 10 ขวบ
หลังจากวันอันเลวร้ายที่สุดในครอบครัวผ่านพ้น
เด็กชายตัวน้อยเติบโตขึ้นในผืนแผ่นดินไทย
ทุกครั้งที่ยื่นขนมให้
เจ้าหนูพูด “ขอบคุณครับ” แล้วยกมือไหว้
ไม่มีสักนิดที่บ่งบอกว่าเป็นสำเนียงของเด็กต่างถิ่นต่างภาษาต่างเชื้อชาติ
แม่ของซิปต้ากลายเป็นคนขายดอกไม้ ขายพวงมาลัย
ทุกเช้าเธอจะปั่นจักรยานมาขายดอกมะลิให้กับชายคนนี้
ชายคนที่เคยหยิบยื่นเงินและช่วยเหลือเธอ
ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก ทั้งที่เธอไม่ใช่คนไทย
ทั้งที่เธอและครอบครัวเป็นอะไรก็ไม่รู้บนแผ่นดินที่ไม่ใช่แผ่นดินเกิดของตัวเอง
เธอเคยหวังจะมอบดอกมะลิพวงใหญ่ให้โดยไม่คิดเงิน
ชายคนนี้ด่าเปิงจนเธอหน้าเสีย
“กูจะไปเอาของมึงฟรีได้ยังไง
สองสามวันมึงเอามาขายให้กูที่ร้านนี่แหละ กูจะเอาไว้ไหว้พระ”
หลายครั้งที่เธอพยายามอาสาขอเข้ามาช่วยทำนู่นทำนี้
ไม่ว่าจะเป็นการทำสวน หรือทำความสะอาดร้านของชายผู้นี้
ด้วยความสำนึกในบุญคุณ
“มึงไม่ต้องยุ่ง กูมีคนเยอะแยะ”
นั่นคือคำตอบที่ทำให้เธอไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำเซ้าซี้อันใดอีก
“มึงเลี้ยงลูกให้ดีดีก็แล้วกัน”
.........................................
หลายครั้งที่ผมเคยคิดว่า
“โลกนี้น่าเบื่อและแล้งน้ำใจ”
เรื่องราวของซิปต้าก็วนเวียนกลับมาในห้วงความคิดทุกครั้ง
โลกนี้มีเรื่องราวมากมายที่เราไม่รู้และไม่เคยเชื่อว่ามีอยู่จริง
ถ้าคุณกำลังคิดว่าโลกนี้ช่างน่าหดหู่ สิ้นหวัง และน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี
ลองมองเข้าไปในดวงตาของ “แม่ของซิปต้า” ดูสิ....
บางที....คำตอบของคุณอาจเปลี่ยนไป..ตลอดกาล
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่