บทความทั่วไป

ที่สุดแห่งถ้อยคำทั้งหมดของชีวิต

กะว่าก๋า

เขียนโดย : กะว่าก๋า





เมื่อวานเป็นวันที่ความรู้สึกของผมหยุดนิ่ง
เพื่อครุ่นคิดถึงชะตากรรมของคนสองคน
เรื่องราวที่เคยคิดว่า...
ไม่หรอก…นี่เป็นเรื่องที่อยู่ไกลจากตัวเรา
มันไม่มีวันเกิดขึ้นกับเรา
หรือกับคนที่เรารัก


 


............................

 


เด็กหญิงอายุสองขวบในวัยสดใสร่าเริง
ทุกวัน...ยามเช้าหนูน้อยนั่งรถไปกับคุณพ่อคุณแม่
เพื่อไปสถานรับเลี้ยงเด็ก

สองสามวันนี้คุณแม่สังเกตว่าลูกมีอาการซึม
ง่วงเหงาและสัปหงก
ทั้งที่นอนหลับพักผ่อนเต็มอิ่มทุกคืน

เช้าวันนั้น....หนูน้อยนั่งอยู่ดีดีก็หลับแบบหมดสติ
หลับอย่างผิดสังเกต คุณแม่พยายามปลุกเท่าไหร่
หนูน้อยก็ไม่รู้สึกตัว
คุณพ่อรีบขับรถไปโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
หมอรับหนูน้อยเข้าห้องฉุกเฉินทันที
เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด
ผลการตรวจออกมา......
หนูน้อยเป็นโรคมะเร็งในสมองระยะสุดท้าย


โลกนี้โหดร้ายทารุณ
แต่คุณไม่สิทธิประณามโลก...
เมื่อนั่น คือ ชะตากรรมที่ไม่อาจหลบเลี่ยงของมนุษย์

 



....................................

 


บ่ายวันเดียวกัน
รับทราบข่าวร้ายจากภรรยา
ลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นญาติฝ่ายภรรยาเสียชีวิตลง
ด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ในวัยเพียงสามสิบต้นๆ

ถ้าคุณยังจำกันได้...
ผมเคยเขียนเรื่องของพี่ผู้ชายคนนี้ไว้ในบล็อก
เพื่อยกย่องความรักของคนทั้งคู่
โดยเฉพาะความรักของฝ่ายหญิง ซึ่งแม้รู้ทั้งรู้ว่าฝ่ายชายเป็นโรคร้าย
แต่เธอยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างเขาโดยไม่ฟังคำทัดทานจากคนรอบข้าง
แม้กระทั่งพ่อแม่ฝ่ายชายยังยอมรับนับถือในขนาดของหัวใจ
รู้ทั้งรู้ว่าพี่ผู้ชายจะอยู่ได้อีกไม่นาน
เธอยังเลือกที่จะแต่งงานและอยู่ดูแลคนรักอย่างดีที่สุด

ผมมีโอกาสได้ไปอยู่ในงานแต่งงานของทั้งคู่
วันนั้นเจ้าสาวดูร่าเริงมาก
ในขณะที่เจ้าบ่าวพอดูออกว่ามีสุขภาพที่ไม่แข็งแรงนัก

ผมนั่งตั้งคำถามในใจว่า
อะไร...ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งยอมเสียสละตัวเองถึงขนาดนี้
ทั้งที่รู้ดีว่า “เวลาแห่งความสุข” ของคนทั้งสองมีเวลาจำกัด
และความรักนี้ยังพ่วงพามาด้วยภาระของการดูแลคนป่วย

ที่ต้องการกำลังใจหล่อเลี้ยงชีวิตเป็นอย่างยิ่ง

 


.....................................
 



หนูน้อยนอนไร้สติอยู่เดือนกว่าๆในห้องผู้ป่วย
นอนเป็นเจ้าหญิงนิทรา
โดยมีพ่อแม่สลับกันมานอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ห่างกาย
พ่อแม่ซึ่งยอมทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อหวัง “ปาฏิหาริย์” สักครั้งเดียว
ในการทำให้ลูกสาวสุดที่รักฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง

น่าเสียดาย...ปาฏิหาริย์ไม่เกิดขึ้นบ่อยในชีวิตจริง
หมอเจ้าของไข้เดินมาพูดถ้อยคำที่พ่อแม่ไม่อยากฟัง
หนูน้อยไม่อาจฟื้นลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ที่อยู่ได้ก็เพราะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น
หมอบอกเพื่อถามความสมัครใจของคุณพ่อและคุณแม่

วินาทีที่ได้รับรู้ความจริงอันโหดร้ายนี้
.......เสียใจแค่ไหน คงไม่มีใครรู้ได้
.......เศร้าใจแค่ไหน ก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้

สุดท้าย...ต้องยอมรับความจริง

หมอดึงเครื่องช่วยหายใจออกมา
แต่เกิดสิ่งผิดปกติ....เด็กไม่ยอมหยุดหายใจ
และมีอาการทรมานกระสับกระส่าย

พ่อแม่เห็นอย่างนั้นยิ่งทุกข์ใจราวหัวใจถูกกรีดเฉือนด้วยคมมีด

วินาทีนั้น...แม่ของเด็กนึกได้ว่า
ทุกคืนก่อนที่หนูน้อยคนนี้จะหลับ แม่ต้องเข้าไปกอด แล้วกล่อมนอน

ตั้งแต่ป่วยจนไม่รู้สึกตัว
แม่ไม่เคยได้กอดลูกเลยสักครั้ง..

คุณแม่เดินเข้าไปอุ้มลูกขึ้นมาแล้วกอดเป็นครั้งสุดท้าย
หนูน้อยลืมตาขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์
เพียงแค่ชั่ววินาที…
ก่อนหลับตาลง
สิ้นใจและจากไปชั่วนิรันดร์..............


 



....................................................

 



ผมไม่เคยสงสัยใน “ความรัก”
ผมเชื่อว่า “รักแท้” มีอยู่จริง
เพียงแต่วิธีการถ่ายทอดมันออกมา
คงแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ความรัก คือ ความเสียสละ
ความรัก คือ สิ่งสวยงาม


ใครบางคนอาจคิดว่ามันเป็นเพียงถ้อยคำหรูหราฟังดูดี
และใครบางคนอาจไม่ยึดถือ ไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะมีอยู่จริง


 



....................................


 


ความตาย ยิ่งตอกย้ำให้เราซึมซับความสำคัญของคนที่ยังอยู่
ตั้งคำถามว่าวันนี้เราดูแลคนที่เรารักดีเพียงใด


บ่อยครั้งที่เราคิดในใจว่าเรารัก
แต่การแสดงออกกลับเพิกเฉยมึนตึง

มีประโยชน์อะไรกับการรักแบบไม่ลืมหูลืมตา
รักแบบที่พออีกฝ่ายตายจากไป
ก็มานั่งคร่ำครวญเสียใจว่า

“ไม่น่าเลย...ฉันน่าจะดูแลเขาให้ดีกว่านี้”

“ไม่น่าเลย...ฉันน่าจะบอกให้เค้ารู้ว่าฉันรักเค้ามากแค่ไหน”

ต่อให้ตายตามกันไปก็ไม่มีประโยชน์


ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด
คือ สิ่งที่เราได้ทำขณะคนรักของเรายังอยู่
เราดูแลเค้าดีแค่ไหน เรารักกันมากพอหรือยัง
ถ้ายัง....คุณรออะไร ?


ความตายสอนให้ผมรู้ถึงคุณค่าของคนที่ยังอยู่
ผมเลิกตั้งคำถามในใจมานานแล้วว่า “รักแท้” มีอยู่จริงหรือเปล่า ?
ผมเลิกสงสัย
แต่ลงมือสร้างทำ.....



……………………………………….




“ความตาย” เริ่มเคลื่อนตัวและตีวงแคบเข้ามาเรื่อยๆ
ใช่...ผมใคร่ครวญถึงการอยู่และการจากเป็นระยะๆ
ไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับความตายในแง่ของความพลัดพรากและเศร้าโศกเพียงอย่างเดียว
ในด้านที่สวยงามของความตายก็มีเช่นกัน

อย่างน้อยมันเป็นเครื่องเตือนสติ
ให้เราตระหนักว่า “ไม่มีอะไรที่แน่นอนยั่งยืนบนโลกใบนี้”
และเราควรทำทุกวันวันให้เป็น “วันที่ดีที่สุด” สำหรับตัวเอง
และสำหรับคนที่เรารักเสมอ


 


.............................................

 



แง่งามที่สุดของความรักอยู่ตรงไหนหรือ ?
อาจอยู่ตรงที่สุดแห่งถ้อยคำทั้งหมดของชีวิต
อาจอยู่ที่ตรงนั้น....
ตรงส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ.

 

 

 

 

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่