จดหมายถึงตัวเอง ฉบับที่ 4
เขียนโดย : กะว่าก๋า
สวัสดีครับคุณก๋า
เช้านี้อากาศสดชื่นมากครับ
ผมได้ออกมาเดินกับคุณทุกเช้า รู้สึกสดชื่นดี
ช่วงเวลาที่ผมชอบที่สุดก็คือ การได้กวาดศาลตายายกับคุณ
จำไม่ได้แล้วว่าคุณเริ่มต้นกวาดศาลตายายเมื่อไหร่
รู้สึกว่าคุณเห็นใบไม้ร่วงอยู่ตรงหน้าห้องมากมายทุกวัน
ตั้งแต่นั้นคุณก็ตื่นเช้าขึ้นอีก 20 นาที
ค่อยๆกวาดใบไม้ที่ร่วงลงมา
ทำเป็นประจำทุกวัน
น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่าคุณใจเย็นลงมาก
คุณดูนิ่ง สงบ กวาดโดยไม่คิดอะไรในใจ
(ถึงแม้ว่าในห้องคุณก๋าจะรกไปด้วยกองหนังสือและแผ่นดีวีดีก็ตาม 555)
วันก่อนผมถามคุณถึงวัยเด็ก
คุณคิดว่ามีอะไรตกค้างอยู่ในความทรงจำวัยเด็กของคุณบ้าง
ใช่ลำคลองสายเล็กที่หลังบ้านอาแปะที่ชลบุรีหรือเปล่า
ผมคิดว่าคุณชอบที่นั่นมาก เมื่อก่อนพ่อกับแม่พาคุณและพี่ๆน้องๆ
ไปเล่นที่นั่นบ่อยๆ คุณวิ่งเล่นทั้งวันโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
มีก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำของคุณชื่อร้านป้าเซี้ยม
ก๋วยเตี๋ยวหมูเด้งที่อร่อยที่สุดในโลกในความรู้สึกของคุณ
ผมไม่แปลกใจเลยที่เมื่อปีที่แล้วคุณได้กลับไปที่นั่นในรอบ 10 ปี
สิ่งแรกที่คุณนึกถึงก็คือ ลำคลองเล็กๆแห่งนั้น
น่าเสียดายที่วันนี้ลำคลองแหกขอด ฝูงปลากระดี่ในวัยเยาว์ของคุณหายไป
พร้อมๆกับความเจริญที่พัดพาเข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้
ก่อนกลืนกินความทรงจำครั้งเก่าก่อนของคุณ ให้ลอยลับหายไป
แต่ป้าเซี้ยมยังอยู่....แกแก่มากแล้ว
แต่รสชาติยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของคุณใช่มั้ย
วันนั้นผมเห็นคุณกินก๋วยเตี๋ยวตั้ง 2 ชามใหญ่
แถมยังกินก๋วยเตี๋ยวผัดผงกะหรี่ไปอีกเกือบจาน
คุณเองยังบอกกับผมว่า วันนั้นคุณไม่ได้ทานแค่ “ก๋วยเตี๋ยว”
แต่เป็นการกลืนกิน “ความทรงจำ” ในวัยเยาว์เข้าไปอีกครั้ง
ผมเชื่อแน่ว่าก๋วยเตี๋ยวที่ไหนก็ไม่มีวันอร่อย
หรือเข้ามาแทนกลิ่นหอมๆ รสชาติดีดีฝีมือป้าเซี้ยมนี้ได้แน่นอน
.........................
ปีนี้เป็นปีที่สงบนิ่งของคุณเลยนะ
ผมสังเกตว่าคุณก๋านิ่งขึ้น คุณใจเย็นขึ้นมาก
ผิดกับคุณก๋าคนก่อน ผู้ซึ่งตำหนิติเตียนทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ได้ดั่งใจคุณ
เหมือนคุณเข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจผู้คนมากขึ้น
และที่สำคัญคุณเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้นเช่นกัน
ผมไม่เห็นคุณโกรธใครเลย ไม่พูดคำหยาบ
อดทนกับอารมณ์ด้านลบของคนรอบข้างได้ดีขึ้น
ผมดีใจนะที่คุณเปลี่ยนตัวเองได้ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ผมไม่ถามหรอกนะ ว่าอะไรที่ทำให้คุณเปลี่ยนไปเช่นนี้
เพราะยังไงซะ ผมก็ชอบที่คุณเป็นแบบนี้
เมื่อก่อนเวลาคุณโมโห หรือ ไม่พอใจใคร
คุณเหมือนจะฆ่าเขาได้เลย ตัวคุณจะร้อน หน้าคุณจะแดง
หัวใจสั่นเหมือนคนวิ่งรอบสนามกีฬามา 5 รอบ
สักพัก...เดี๋ยวคุณก็เตะเก้าอี้ ปานู่นพังนี่
ผมชอบแอบแขวะว่าสงสัยคงนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกมิวสิควีดีโอ
เอะอะก็ปาแก้ว เอะอะก็ถีบโต๊ะ …. “ไอ้บ้า”...
ขอแอบด่าอีกทีเถอะ อิอิอิ
ลูกน้องกลัวคุณมากเลย เพราะปกติคุณดูเรียบร้อย ขรึมๆ
แต่เวลาปี๊ดแตกขึ้นมา ขนาดตัวผมเองยังรับไม่ค่อยได้เลย
ตอนนี้คุณดูเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะอะไรครับ ?
เพราะคุณแต่งงานรึเปล่า บางทีผมแค่สงสัยว่าความรักที่ดี
มันทำให้ชีวิตมีความสุข พอมีความสุขเลยไม่เครียด
พอไม่เครียดเลยปล่อยวาง พอปล่อยวางเลยมีความสุข
ความรักสวยงามอย่างนั้นเลยหรือเปล่า ?
หรือเป็นเพราะที่คุณเคยบอกว่า “ภูเขา” ลูกนั้นที่เมืองจีน
เปลี่ยนวิธีคิดของคุณ
ตอนนั้นคุณยังไม่ได้แต่งงาน กำลังเบื่องานที่ทำ
ไม่มีความสุขในชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ
แล้วทำไมคนเราถึงรู้สึกเข้าใจตัวเองด้วยการยืนดูภูเขา
ผมเองก็หาคำตอบไม่ได้
รู้แต่ว่าตอนนั้นผมอยู่กับคุณ
ภูเขาที่เมืองกุ้ยโจว ประเทศจีนทำให้คุณยืนนิ่งไม่ไหวติง
ผมอ่านความคิดคุณตอนนั้นไม่ออก
มันเหมือนคุณไม่ได้คิดอะไร เหมือนไม่มีตัวตน
พอสัมผัสได้นิดหน่อยว่า คุณรู้ในวินาทีนั้นว่า
ตัวคุณนั้นเล็กมากเมื่อเทียบกับภูเขาลูกนั้น
คุณบอกกับผม (หรือตัวคุณเอง) ว่า
ทุกข์ของเรามันเล็กน้อยนัก เมื่อเทียบกับความใหญ่โตของธรรมชาติ
เราเป็นเพียงแค่ฝุ่นละอองธุลีเล็กๆบนโลกนี้
จะไปทุกข์อะไรมันนักหนา เกิดมาเดี๋ยวก็ตาย
ผมคิดว่า คุณเปลี่ยนวิธีคิดในการใช้ชีวิตในตอนนั้นเอง.....
บนรถทัวร์วันนั้น คุณนั่งอยู่หลังรถโดยลำพัง
นั่งเขียนบันทึกมากมายยาวเหยียด
คุณพูดถึง การสร้างสะพาน และทำลายกำแพงในใจ
หลังจากวันนั้นคุณดูมีความสุขขึ้น ผ่อนคลาย และเข้าใจตัวเองมากขึ้น
คุณกลับมาพร้อมความรู้สึกใหม่ที่ผมเชื่อว่าคนรอบข้างทุกคนพากันแปลกใจ
เมื่อก่อนพ่อคุณยังกลัวเวลาคุณโกรธ
พนักงานไม่อยากเดินเฉียดกราย
เวลาประชุมพนักงานที ทุกคนก้มหน้านิ่งไม่อยากสบตา
แต่หลังจากวันนั้น คุณมีท่าทีผ่อนคลาย รับฟังคนอื่นพูด
ไม่เรียกร้องสิ่งที่มากมายเกินไป เข้าใจธรรมชาติมนุษย์
ไม่กลัวปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงาน
ผมสังเกตเห็นได้ชัดว่าคนรอบข้างคุณดูมีความสุขขึ้น
แล้วคุณเองค่อยๆลดอาการเกรี้ยวกราดลง น้อยลงๆ
จนในปีนี้ ผมยังไม่เห็นคุณโกรธใครเลย
หลายคนสงสัยว่าคุณไปปฏิบัติธรรมที่ไหนมาหรือเปล่า
คุณได้ยิ้มแล้วบอกว่าเปล่า
แต่อ่านหนังสือ และสนทนาธรรมกับอาแปะ (พี่ชายพ่อ) อย่างสม่ำเสมอ
คุณก๋ากับอาแปะนั่งคุยกันอย่างถูกคอ
พูดคุยเรื่องธรรมะได้นานเป็นชั่วโมง
เรื่องที่คุย ถ้าให้คนอื่นมาฟัง ก็คงไม่เข้าใจ
บางคนอาจบอกว่า “คุยบ้าอะไรกัน”
แต่คุณก๋าเชื่อใช่ไหมว่ามันเปลี่ยนวิธีคิดและมุมมองของคุณได้มากมายมหาศาลเช่นกัน
..............................
คุณก๋าเคยคิดไหม
ว่าปีหน้าที่คุณกลับไปป้าเซี้ยมอาจไม่อยู่ที่จะปรุงก๋วยเตี๋ยวถ้วยโปรดให้คุณทานแล้ว
แกแก่มากแล้ว 7-80 แล้วนะ
แกเล่าให้คุณฟังด้วยไม่ใช่หรือ ว่าลูกหลานไม่อยากให้แกขายก๋วยเตี๋ยวแล้ว
ลูกแกคนนึงเป็นนายทหารยศนายพล อีกคนเป็นหมอ อีกคนเป็นวิศวะ
ลูกทุกคนทุกเดือนส่งเงินมาให้ แต่แกไม่ชอบอยู่เฉยๆ
ถึงยังต้องเหนื่อยกับการขายก๋วยเตี๋ยวอยู่
ป้าเซี้ยมบอกคุณว่าบางทีก็เหมือนได้เจอเพื่อน และมีอะไรให้ทำแก้เหงา
คุณคงคิดเหมือนที่ผมคิดใช่มั้ย....
เรื่องราวบางเรื่องในชีวิตของเรา
ก็ไม่ต่างอะไรกับ “ก๋วยเตี๋ยว” ของป้าเซี้ยม
ซึ่งคงยังอุ่นและส่งกลิ่นหอมเสมอ
ในใจของเราตลอดไป
ดีใจครับ
ผมเอง---ส่วนหนึ่งในตัวคุณ
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่