ความขบถซ่อนตัวอยู่ในชีวิต ชีวิตซ่อนตัวอยู่ในความขบถ.
เขียนโดย : กะว่าก๋า
นานมาแล้ว
รุ่นน้องคนหนึ่งโทรทางไกลมาหาผม
น้ำเสียงแสดงความชื่นชม
“น้องชอบสิ่งที่พี่คิดและเขียนมากเลยค่ะ”
ผมกล่าวขอบคุณ....ก่อนพูดถ้อยคำต่อมา
“วันนี้ผมไม่ได้คิดแบบนั้นแล้วครับ ผมเองรู้สึกผิดที่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
มันดูไม่ยุติธรรมต่อเพื่อนและอาจารย์ที่ถูกผมกล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียว
ผมเสียใจในสิ่งที่ตัวเองคิด แต่ผมไม่เสียใจที่ได้ทำมันลงไป
เพราะ ณ เวลานั้น นี่คือสิ่งที่ผมเชื่อในตอนนั้น
แต่ตอนนี้ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปมากแล้วครับ”
………………………………………
หลังจากเรียนจบจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้
ผมกลับบ้านที่เชียงใหม่ สมัครงานและเริ่มต้นชีวิตการเป็นสถาปนิกทันที
เวลาว่างหลังจากเลิกงาน ผมกลับมานั่งอ่านบันทึกที่ตัวเองเขียนไว้
สองปีที่นั่นทำให้ผมได้สมุดบันทึกหลายเล่ม
ที่บรรจุไปด้วยถ้อยคำแห่งความคับแค้น
ตัวอักษรแห่งความผิดหวังชิงชัง
ที่มีต่อคณะ อาจารย์ และเพื่อนพ้อง
สองปีที่นั่นเปรียบเสมือนฝันร้ายในชีวิตที่ตามหลอกหลอนความรู้สึกของผมมาโดยตลอด
ผมคิดว่านี่คือหลุมบ่อแห่งความว่างเปล่า
ที่ผมต้องไปทนย่ำยืนอยู่ในนั้นเป็นเวลาสองปีเต็ม
เพื่อแลกกับกระดาษแผ่นเดียวที่เรียกว่า “ปริญญาบัตร”
การเรียนการสอนที่นั่นทำให้ผมเหนื่อยหน่าย เบื่อ
เซ็งกับพฤติกรรมของอาจารย์ที่ไม่ค่อยเข้าสอน
และผมคิดว่าการตัดเกรดก็เป็นไปอย่างไม่ยุติธรรม
ความรับผิดชอบในการสอนหายไปไหน.....
หลายครั้งที่ผมไปนั่งรออาจารย์ แต่อาจารย์ไม่เข้าสอน
โทรไปตาม ก็บอกไม่ว่าง เพราะมัวแต่ไปรับงานนอกซึ่งเงินดีกว่า
เพื่อนที่คณะก็ทำให้ผมหวาดระแวง พวกเขาเป็นเด็กเรียน
ในขณะที่ผมเป็นเด็กกิจกรรม เรามีวิธีคิดที่แตกต่าง
เวลาผมรู้อะไรที่พอแบ่งปันเพื่อนได้ ผมไม่เคยหวงวิชา
แต่เพื่อนบางคนกลับแสดงให้เห็นเด่นชัดว่า
ใครอย่ามาเก่งเกินกู......
...............................................
ผมตั้งใจเลือกเรียนที่นี่ เพราะอยากเป็นครู
นี่คืออาชีพที่มีเกียรติที่สุดในความรู้สึกของผม
พอเจอเหตุการณ์แบบนี้เข้า ....ถึงกับเศร้าและปรับตัวไม่ได้
ผมเริ่มก้าวร้าว และแสดงออกในแบบที่เรียกว่า “ขบถ”
เหตุการณ์ร้อนถึงขีดสุด
เมื่อวันที่ผมและเพื่อนบางคนร่วมกันจัดนิทรรศการ
ด่าคณะฯของตัวเอง
สถานที่คือโถงหลักทางเข้าคณะฯ
ผมใช้งานศิลปะและบทกวีที่มีเนื้อหารุนแรงกล่าวโจมตีวิธีสอน
วิธีปฏิบัติตัวที่ไม่เหมาะสมของอาจารย์ในคณะฯ
ผมรูปวาดด้วยหมึกสีดำลงบนกระดาษขนาดเท่าคนจริง
เป็นรูปวาดนักศึกษาที่ถูกปิดหู ปิดตา ปิดปาก
แล้วมีเชือกเส้นใหญ่แขวนคอห้อยต่องแต่ง
ใต้ภาพมีตัวอักษรคำว่า “School is dead”
เห็นเด่นชัด
เรื่องนี้ทำให้อาจารย์ที่ปรึกษาการจัดนิทรรศการครั้งนี้กับพวกผม
ตัดสินใจลาออกในปลายเทอมนั้น.....
เพราะทะเลาะและขัดแย้งกับอาจารย์อาวุโสภายในคณะฯอย่างรุนแรง
ผมเองถูกคณบดีเรียกเข้าพบ
ท่านถามว่าเกิดอะไรขึ้น มีอะไรหรือ...
ผมเล่าให้ท่านฟังจนหมดอย่างที่ตัวเองรู้สึก
คิดในใจแค่ว่า จะไล่ก็ไล่....ฉันไม่อยากเรียนที่นี่แล้วเหมือนกัน
แต่เหตุการณ์ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด
ท่านคณบดีชวนคุยอย่างใจเย็น
สอบถามที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้
สุดท้ายท่านบอกผมว่า....
“ที่คณะฯมีทุนไปเรียนต่อนิวซีแลนด์ คุณสนใจมั้ย
เรียนต่อได้ทั้งโทฯ และเอก เลยนะ จบแล้วมาช่วยทำงานที่นี่กัน”
สถานะหนึ่งผมเป็นลูกศิษย์ท่าน ผมชอบเรียนวิชาจิตวิทยาที่ท่านสอนมาก
แต่ ณ เวลานั้น ผมบอกตามตรง
เหยียบเท้าเข้าคณะฯยังไม่อยากเดินเฉียดกราย
ผมจะมาเป็นครูกับคนที่ผมเกลียดได้อย่างไร
.......................................
หลังเหตุการณ์นั้น ผมเรียนต่อจนจบ
เรียนจบผมเดินทางกลับเชียงใหม่ทันที
ทิ้งความทรงจำเลวร้ายไว้ที่นั่น
แล้วกลับมานั่งเขียนหนังสือ “สองปีที่ฝันร้าย”
โดยนำเนื้อหาในบันทึกมาเขียนและเรียบเรียงขึ้นใหม่
บอกเล่าทุกความรู้สึกที่ผ่านพบ
จากนั้น...ส่งให้เพื่อนและอาจารย์ทางไปรษณีย์
ผมคิดว่าท่านคณบดีก็คงได้อ่านหนังสือเล่มนี้.....
......................................
ทุกคนพูดถึง “ความแรง” ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้
ผมไม่ได้รู้สึกสะใจ ดีใจ แค่รู้สึกว่ามันเป็นอะไรบางอย่างที่ตัวเองอยากเล่า
ผมมีโอกาสได้คุยกับอาจารย์ที่เคยสอนผมที่เชียงใหม่
ท่านรู้ว่าโดยธรรมชาติผมเป็นคนยังไง
“อาจารย์ว่าเธอทำรุนแรงเกินไป” อาจารย์ที่สนิทกับผมท่านนึงพูด
“แล้วอาจารย์จะให้ผมทำยังไงครับ ถ้าผมไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง
รุ่นน้องที่ตามหลังลงไปคงต้องเจอกับความเฮงซวยแบบที่ผมเคยเจอ
ผมรับไม่ได้หรอกครับ”
การพูดคุยในวันนั้นจบลงโดยไม่มีบทสรุป....
..............................
หลายปีหลังจากนั้น….
วันที่ผมพบผ่านผู้คนมากมายในทุกระดับ ทุกสถานะ
ทั้งคนดี คนเลว คนรวย คนจน
คนเหล่านั้นให้บทเรียนกับผมว่า
“ไม่มีใครเป็นได้ดั่งที่เราต้องการ”
กว่าผมจะรู้ความจริงข้อนี้ ต้องเสียน้ำตาไปไม่รู้เท่าไหร่
เสียใจไม่รู้กี่หนต่อกี่หน
กว่าจะซึมซับรับรู้ความจริงที่ว่า
“จงมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้มันเป็น”
ใจของผมเองต้องผ่านริ้วรอยในใจที่ถูกโบยตีมานับครั้งไม่ถ้วน
.................................
วันนี้ผมไม่ใช่เด็กหนุ่มเลือดร้อนที่คิดอยากเปลี่ยนแปลงโลกอีกแล้ว
ตัวเลขอายุที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่ได้เรียนรู้มา ทำให้ผม “เยือกเย็นและเดินช้าลง”
รับในสิ่งที่ไม่พึงใจได้ดี รับมือกับความเกรี้ยวกราดของคน
รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมมนุษย์มากขึ้น
ผมไม่ได้หวังที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน
ไม่คิดเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งเพื่อรองรับความฝันตัวเองอีกแล้ว
ผมแค่มองดูสิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างเข้าใจ
ในหลักสัจธรรมที่มันเป็นไป
...........................
ผมรู้ปลายสาย....น้ำเสียงของน้องคนนี้ผิดหวัง
ที่ผมไม่ได้ “แรง” อย่างที่เค้าคาดหวัง
ผมไม่ได้เป็นคนเดิมที่ลุกขึ้นมาพูดทุกสิ่งที่ตัวเองรู้สึก
ผมไม่ใช่ “ไฟที่ร้อนแรง” อีกแล้ว
ตอนนี้ผมอาจเป็นได้แค่กองไฟอุ่นๆ....
และผมหวังใจเอาไว้ว่า
หากใครมีโอกาสได้พูดคุยกับผมในตอนนี้
ไฟในตัวผมคงเหลือเพียงพอที่จะขับไล่ความหนาวเย็นในใจ
ของใครบางคนได้บ้างกระมัง.
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่