เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของความเกลียดชัง
เขียนโดย : กะว่าก๋า
1.
“มึงจะเอาผู้นำที่เป็นคนดีแต่ซื่อบื้อ หรือจะเอาผู้นำที่เก่งแต่ขี้โกง”
คำถามนี้ทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบ...
แล้วพาลนึกไปถึงเรื่องที่ใหญ่โตกว่าเรื่องราวของบริษัทเล็กๆ
2.
ผมเลิกอ่านข่าว เลิกดูทีวีตั้งแต่ภายในประเทศเกิดการปฏิวัติรัฐประหาร
นี่ครบรอบหนึ่งปีแห่งการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
คำขายฝันว่าประเทศจะเข้าสู่ภาวะผู้นำในฝัน
คนดี ไม่โกง ไม่กิน ไม่คอรัปชั่น ซื่อสัตย์สุจริต
เราตั้งองค์กรต่างๆ เพื่อทำงานในทุกด้าน แต่ไร้ผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
มีการร่างกฎหมายเพื่อนำไปสู่ความเชื่อว่า “รัฐบาลใหม่” จะนำพาประชาชนไปสู่สิ่งที่ดีกว่า
เป็นหนทางซึ่งนำไปสู่การเมืองน้ำดี ไปสู่ความหวังใหม่อันเรืองรองของคนทั้งชาติ
เรากลัวการครอบงำอำนาจทางการเมืองจนหัวหด
เราถูกทำให้เชื่อว่ารัฐบาลที่แล้วโกงกินและขายชาติ
เรารับฟังข้อมูลด้านเดียวที่สื่อเฝ้านำเสนอว่า
“คนโกงไม่มีแผ่นดินอยู่”
คนบางคนถ้าอยู่ในประเทศ แล้วจะทำให้คนในชาติแตกแยก
เราฝันถึงการสมานฉันท์
แต่แล้วทุกสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ
กลับกลายคล้ายเป็นเพียงน้ำค้างกลางแดด
ที่ระเหิดหายไปพร้อมกับความฝันถึงการอยู่ดีกินดีของพวกเรา
3.
ผมสะดุดใจกับประโยคนี้...
“คนดี คือ อะไร ? .........
คือ คนที่ไม่รู้หนาวรู้ร้อนยังงั้นหรือ
ผู้นำที่ดี ต้องเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ ?....
เราต้องยอมรับความจริงอีกด้านของประเทศว่า
โลกในยุคนี้หมดยุคการใช้ปืนจ่อหัวแล้วยิง
แต่เป็นยุคของการไล่ล่าอาณานิคมทางการเงิน
ทุนนิยมเท่านั้นที่โลกทั้งโลกเชื่อถือ
ทุนนิยมที่ไม่จำเป็นต้องถูกเปื้อนสีให้เรากลัวจนลนลาน
และคอยแต่คิดว่าทุนนิยมคือความเลวร้ายเสมอไป
ถามว่าคนดีที่ซื่อบื้อจะมีประโยชน์อะไร
ผู้นำที่นั่งสมาธิทั้งวัน เดินจงกรมทั้งคืน
ถือศีลห้านับศีลแปด
ในขณะที่โลกทั้งโลก เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า
เต็มไปด้วยการฉกฉวยแย่งชิงความได้เปรียบชนิดวินาทีต่อวินาที
ถามว่าคนดีต้องไม่รับรู้อะไร ต้องวางอุเบกขาในทุกเรื่อง
ใครจะเป็นจะตายก็ช่าง เป็นสัจธรรมของโลกที่ต้องเป็นไป
เราต้องการคนดีแบบก้อนหินที่ไม่รู้ร้อนหนาวต่อสุขทุกข์ของประชาชนเลยอย่างนั้นหรือ”
4.
“กิเลสถ้ามีแบบพอดี มันทำให้เกิดความสร้างสรรค์
เราเรียนรู้ธรรมะเพื่อให้เข้าใจให้ได้ว่า
ที่สุดแห่งทุกข์ก็คือชีวิตมนุษย์
แต่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบจมอยู่ในห้วงทุกข์ตลอดเวลา
สิ่งเดียวที่ธรรมะจะบอกสอนกับเราได้
นั่นคือ สัจธรรมแห่งความเป็นจริง
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย มีพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก
ทุกอย่างล้วนเสื่อมสลาย ตั้งอยู่ในโลกธรรมแห่งความเป็นจริงที่ว่า
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย เงินทอง ทรัพย์สิน ชื่อเสียง อำนาจ
ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของเราอย่างแท้จริง
สิ้นสุดชีวิต ก็คือ ความตาย
แต่ถามว่าเราจำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบเรียบเฉยเฉื่อยเนือยอย่างนั้นหรือ
ศึกษาธรรมะมิใช่เพื่อให้ปล่อยวางเฉยไปซะทุกเรื่อง
กิเลสที่มีในปริมาณพอเหมาะ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง
มัวแต่มานั่งทำตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง จนเพิกเฉยในอารมณ์
คนเราคงไม่ต่างอะไรกับก้อนหิน
โลกนี้สร้างความสวยความงามขึ้นมา
เพื่อให้เกิดความรู้สึก
รักชอบ เกลียดชัง
เรารัก เราสนใจ ดึงดูดกัน...จึงมีการสืบพันธุ์
เราเห็น เราอยากได้ เราจึงทำงาน
เราจึงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆให้กับโลกได้ตลอดเวลา
นี่ต่างหากคือชีวิตที่มีคุณค่าทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น
ธรรมะมิได้บอกให้เราเพิกเฉยต่อความเป็นความตาย
แต่สอนให้เราเข้าใจสัจธรรมแห่งความเสื่อม
เพื่อจะได้ไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
และทำชีวิตให้มีคุณค่า มีความสุขในการดำเนินชีวิต
และไม่โลภหวังมากจนเอาเปรียบเบียดชังใคร
5.
“เราต่างเป็นส่วนหนึ่งของความเกลียดชัง”
ใครบางคนเคยพูดไว้
“จงเกลียดความเลวในตัวมนุษย์
แต่อย่าเกลียดชังมนุษย์”
ในสภาพของคนที่มีเนื้อมีหนังมีเลือดมีหัวใจ
ไม่ใช่ทุกครั้งที่ผมจะทำใจยอมรับความจริงข้อนี้ได้
บ้านเมือง ประเทศชาติ ไม่ใช่ของผมคนเดียว
ไม่ใช่ของใคร คนใดคนหนึ่ง
ผมเบื่อและเอียนกับคำว่า
“รักประเทศชาติ และทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง”
ผมไม่รู้จริงๆ....ว่าสุดท้ายแล้ว เราจะเดินกันไปในทิศทางใด
ท่ามกลางความเกลียดชัง
และท่ามกลางความหม่นไหม้ไส้ขมในใจของผู้คน
หรือเอาเข้าจริงๆแล้ว
ประเทศชาติ...ประชาชน
ก็เป็นเพียงชื่อที่ใช้อ้างเพื่อการขึ้นครองอำนาจ
เป็นเพียงช่องการแสวงหาเงินทองทรัพย์สิน
เป็นแค่หมากเบี้ยตัวเล็กๆที่ใช้อมจนหมดรสชาติ
แล้วก็ถ่มถุยทิ้งอย่างไม่ใยดี
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่