บทความทั่วไป

ดวงจันทร์ในดวงตาข้างซ้าย

กะว่าก๋า

เขียนโดย : กะว่าก๋า





 

 



เราต้องการกิเลส
เพื่อให้รู้ว่าชีวิตยังคือชีวิต
เพื่อให้รู้ว่าร่างนี้ คือ บททดสอบที่เราต้องผ่านมันไปให้ได้


คนเราเกิดมาพร้อมกรรมดี-กรรมชั่ว
พร้อมวิธีและความคิดที่ผสมผสานทั้งสิ่งที่ดีและชั่ว
ไม่มีใครที่ทั้งชีวิตมีแต่ความบริสุทธิ์พิสุทธิ์ใส
หรือเลวทรามต่ำช้าสามานย์จนไม่เหลือดี


อยากได้คนดีบริสุทธิ์ผุดผ่องผู้ไม่หมองมัว
ก็เหมือนการไปหาเมล็ดผักกาดในบ้านที่ไม่เคยมีใครตาย
แน่นอน...เมล็ดผักกาดนี้ย่อมไม่เคยมีอยู่จริง....



...............................................



กาย คือ บททดสอบ
คือ ร่างที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นปากเสียงแทนธรรมชาติ
คือ ร่างที่ธรรมชาติให้ไว้เพื่อทดสอบความรู้
ในเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย

คือร่างที่ธรรมชาติให้พุทธิปัญญามาเต็มเปี่ยม
หากแต่มนุษย์ผู้โฉดเขลา
กลับสร้างกิเลสมากมายเข้าครอบงำดวงจิตอันสุกสว่างกระจ่างใส
ทำให้ชีวิตหมองมัวด้วยกิเลสและตัณหาอันมากเกินขอบเขต


.............................................



แต่นั่นย่อมมิใช่หนทางที่ทำให้เรา
ต้องปิดกั้นทวารแห่งการรับรู้ทั้งหก
เป็นความโง่เขลาที่เหมาเอาเองว่า
หากหลับตาไม่รับรู้ภาพ
หลีกเร้นจากเสียงทั้งปวง
หลบหนีจากการสัมผัสรัดรึง
ปล่อยลิ้นมิให้สัมผัสรับรู้รสชาติ
พยายามเอาชนะการรับกลิ่น
และหยุดการปรุงแต่งความคิดอย่างสิ้นเชิง

เพียงเพราะเชื่อว่าการทำเช่นนั้น
จะนำไปสู่เส้นทางแห่งการบรรลุธรรม



.......................................




ธรรมชาติสร้างร่างกายมนุษย์ขึ้นมาเพื่ออะไร
เพื่อเป็นบททดสอบใช่ไหม ?

กายนี้เราต้องไปสั่งมันไหมว่าหัวใจทำงานได้แล้ว
ต้องบอกไหมว่าเลือดจะไหลไปที่เส้นเลือดเส้นไหน
ต้องชี้จุดไหมว่าอาหารจากลำคอจะล่วงไปสู่กระเพาะได้อย่างไร


เราต้องมีความอยากในการกิน มิเช่นนั้นร่างกายจะเอาแรงมาจากไหน
หากมนุษย์เฝ้าโหยหาความบริสุทธิ์จนละเลยเพิกเฉยซึ่งการสมสู่
เผ่าพันธุ์มนุษย์จะเป็นเช่นไร
เราจะดำรงพงศ์พันธุ์กันได้อย่างไร
หากมนุษย์ซึ่งคิดว่าทุกอย่างในชีวิตล้วนว่างเปล่า วันๆเอาแต่นอนหายใจทิ้งรอวันตาย
คนบนโลกนี้จะอยู่กันอย่างไร เราจะมีสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆเกิดขึ้นได้หรือ ?....


..............................................



กิเลสในปริมาณที่เหมาะสม
เป็นตัวกระตุ้นให้เรารู้จักสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
ทำในสิ่งที่งอกงามและมีประโยชน์กับคนรุ่นหลัง


การเข้าสู่การตรัสรู้
มิได้หมายความว่าเราต้องรู้ไปเสียทุกอย่าง รู้ไปหมดทุกเรื่องในโลกนี้
วงจรชีวิตสั้นๆของเรา ไม่อาจทำให้มนุษย์รู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ได้หมดสิ้น

สิ่งที่เราต้องรู้ คือ การปล่อยวางสิ่งที่เรารู้ต่างหาก
เพื่อเข้าสู่สภาวะว่างอันเป็นอเนกอนันต์
อยู่เหนือเหตุ เหนือผล เหนือการเวลา



..............................................




ฉันจ้องมองเมฆบนฟ้าในยามค่ำคืน
ดวงจันทร์ในดวงตาซ้ายส่องแสงนวลยวนใจ
ฉันยิ้ม....และหลับตาลง.

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่