เอากลับคืนไปสอง , ติดตัวไปได้หนึ่ง
เขียนโดย : กะว่าก๋า
เย็นวันที่ 1 มกราคม 2551
ผมยืนคุยกับพ่อค้าขายผลไม้
ผมเรียกเขาว่า “อาบัง” จนชินปาก
เขาเป็นชาวมุสลิมที่เคร่งครัด
สถานะหนึ่งอาบังเป็นพ่อค้าขายผลไม้ ที่ซื้อผลไม้จากตลาดสด
แล้วนำใส่รถกระบะคันเก่า เร่ขายตามร้านค้าและแหล่งชุมชน
อีกสถานะหนึ่งเขาคือ “อิหม่าม” หรือ ผู้สอนศาสนาที่มัสยิดแถวบ้านผม
ผมคุยกับอาบังเรื่องศาสนาและความเชื่อของเขา
หลายครั้งเขาหยิบยื่นหนังสือเกี่ยวกับแนวคิด
และหลักคำสอนของชาวมุสลิมให้ผมอ่านครั้งละหลายเล่ม
ผมอ่านและศึกษาอย่างตั้งใจทุกเล่ม
ไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะคำไหนก็มาถามจากอาบังอีกครั้ง
และผมเชื่อเหมือนกับที่อาบังเชื่อว่า
ทุกศาสนาและทุกความเชื่อมีรากฐานมาจากความดีงาม
ขอเพียงแต่อย่าศรัทธาอย่างบอดใบ้และหน้ามืดตามัวเท่านั้นเอง
....................................
ในวันปีใหม่....
เราคุยกันหลายเรื่อง
แต่มาจบด้วยเรื่องของ “ความตาย”
อาบังเล่าให้ฟังถึงความเชื่อในศาสนาอิสลาม
ซึ่งสอนไว้ว่า
เมื่อยามคนเราตายนั้น
สามารถนำติดตัวไปได้เพียงอย่างเดียว
อีกสองสิ่งไม่สามารถนำติดตัวไปได้
“สองสิ่งนั้นคืออะไรครับ ?” ผมถาม
“เมื่อยามเราตาย ร่างกายถูกกลบฝัง สองสิ่งที่เรานำติดตัวไปไม่ได้
ก็คือ ลูกเมียและครอบครัว เมื่อเขาส่งเราลงหลุม เขาก็กลับไปบ้าน
อีกสิ่งหนึ่ง คือ ทรัพย์สินทั้งหมดที่เรามี มันล้วนไม่ใช่ของเรา เมื่อยามเราตาย”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนถามต่อ
“แล้วหนึ่งสิ่งที่เรานำติดตัวไปล่ะครับ ?”
อาบังตอบ...
“สิ่งเดียวที่เรานำติดตัวไปได้ ก็คือ ความดี-ความเลว เมื่อครั้งที่เรามีชีวิตอยู่
และได้กระทำไว้นั่นเอง”
.......................................
หลายครั้งเรามัวแต่เฝ้าค้นหาคำตอบว่า
“เมื่อไหร่ฉันจะรวยสักที ?”
เมื่อมีรถ ก็อยากมีบ้าน
เมื่อมีบ้านก็อยากได้บ้านหลังใหญ่มากขึ้น
เมื่ออยากได้ทุกอย่าง ชีวิตก็เหมือนหนูถีบจักรที่วิ่งวุ่นอยู่กับการหาเงินตลอดชีวิต
จนไม่มีเวลาสนใจสุขภาพร่างกาย
ไม่มีเวลาหยุดดูเพื่อให้รู้ว่าตัวเรามีทุกสิ่งมากมายเกินพอ
แต่ไม่เคยหยุดที่จะชื่นชมมันอย่างแท้จริง
“คนเรารวย...เมื่อรู้จักพอ” อาบังสรุปปิดท้ายได้อย่างน่าฟัง
แน่นอน....ผมไม่ได้แนะนำให้ใครสักแต่พูดคำว่า “พอเพียง...เพียงพอ”
แล้วก็ใช้ชีวิตไปแบบคนที่ขี้เกียจสังกะตาย
แต่จะดีกว่าหรือไม่หากงานที่เราทำ
เงินที่เรามี มันสามารถตอบสนองความสุขในระดับที่ “ไม่มากเกินพอ”
เราคงไม่ต้องมานั่งถกเถียงกันต่อว่า “แล้วเพียงพอของแต่ละคนมันอยู่ตรงไหน ?”
ผมคิดว่าถ้ามนุษย์เราไม่หลอกตัวเอง กล้ายอมรับความจริง
เรารู้แน่นอนว่า “ความพอเพียง” ของเราอยู่ตรงไหน
โดยไม่ต้องให้สื่อหรือใครมาพูดกรอกหูเราทุกวันๆว่าพอเพียง เพียงพอ
แต่ตัวคนพูดเองไม่เคยทำได้อย่างที่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว
.....................................
บางที....
การได้ครุ่นคิดถึงประโยคนี้
“เอากลับคืนไปสอง , ติดตัวไปได้หนึ่ง”
ก็ทำให้เราได้หยุดและฉุกคิดขึ้นบ้างว่า
จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิต
จะดีกว่าไหม...
หากได้ผ่อนคลายความเข้มข้นในการเสาะแสวงหาเงินและอำนาจลงบ้าง
ไม่มุ่งเพียงกอบโกยและวิ่งเข้าสู่เป้าหมาย
แต่เดินให้ช้าลง แล้วมีความสุขกับสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างแท้จริงดูบ้าง
บางที...การใช้ชีวิตแบบนี้
อาจทำให้เราได้พบความสุขที่แท้จริงของชีวิต…
โดยไม่จำเป็นต้องตายอยู่บนกองเงินกองทองมากมายมหาศาล
อันว่างเปล่าและไม่ได้เป็นของเราเลยแม้แต่เพียงสิ่งเดียว
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่