บทความทั่วไป

พุทธะในตน

กะว่าก๋า

 

 

 

 

 

“อะไร คือ หัวใจของคำสอนในศาสนาพุทธ ?”

“เราสวดมนต์ไปทำไม ?”

“ปาฏิหาริย์มีจริงหรือไม่ ?”

“พุทธะคืออะไร ?”

“ไหว้พระไปเพื่ออะไร ?”

ฯลฯ

 

หลายคนเป็น “พุทธ” แต่เพียงในนาม
ได้ใช้แค่เวลาเขียนกรอกลงไปในช่องคำถามว่านับถือศาสนาใดเท่านั้น....

เป็นสิ่งน่าเสียดายที่ในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา
กลับละเลยเพิกเฉยที่จะนำหลักคำสอนมาสอนให้แก่พุทธบริษัททั้งหลาย

สิ่งที่เราได้รับกลับกลายเป็นคำสอนที่บิดเบือนมากมาย
อันนำคนในชาติให้หลงไปสู่เส้นทางที่บิดเพี้ยนงมงาย
เราจึงกลายเป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ
...ศาสนาซึ่งเน้นไปยังการสอนให้เชื่อในเหตุและผล
การใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา และการปฏิบัติเพื่อไปให้ถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์

แต่นับจากอดีตและปัจจุบัน...
เรากลับงมงายอยู่แต่กับการระลึกชาติ การผูกดวงแก้กรรม
การสวดมนต์เพื่อหวังมรรคผลถึงสวรรค์ชั้นฟ้า
การเน้นให้คนบริจาคเยอะๆเพื่อหวังบุญอันมองไม่เห็น
การสร้างวัตถุมงคลมากมายที่เน้นแต่ความร่ำรวยๆๆๆๆ

การสอนที่ควรพาคนให้หลุดพ้นจากกิเลส
กลับยิ่งสอน ยิ่งงมงาย ไร้เหตุผล

เราจึงได้เห็นพระสงฆ์ต้องมาทำหน้าที่ใบ้หวย
ทำเสน่ห์ ซื้อยศซื้อตำแหน่ง ฝักใฝ่การเมือง
หรือเพี้ยนไปจนถึงขั้นอวดอุตริรำดาบเพื่อเรียกเทพมาประทับในวัตถุมงคล ฯลฯ

 

 

เรากราบพระเพื่อไหว้วอนขอ ร้องขอด้วยความโลภหวัง
เราอยากมีแต่ความสุขโดยคิดปฎิเสธความทุกข์
เราอยากร่ำรวยโดยทำงานแต่เพียงน้อย
เราอยากได้นู่น นั่น นี่ไม่รู้จบ
เราจึงร้องขอเอาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ค่อยยอมลงมือกระทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจ
เราไม่เชื่อในความสามารถของตัวเอง
แต่กลับไปพึ่งพาเรื่องของเลขผานาทีและฤกษ์ยามต่างๆ
เราต้องการที่พึ่ง ต้องการหมอดูเพื่อบอกสิ่งที่ยังไม่เกิด
แล้วเราก็เอาคำคาดเดาเหล่านั้นมาหลอกหลอนตัวเองด้วยความกลัว

 

 

ทุกครั้งที่เราสวดมนต์หรืออ่านพระสูตรต่างๆ
จึงเป็นไปเพื่อหวังสิริมงคลจากบทสวดนั้นๆ
โดยไม่เคยรู้ความหมายใดใดในอักษรบาลีที่เรากำลังอ่าน


ครั้งหนึ่ง....
อาจารย์เซนเดินไปหยุดยืนที่ริมแม่น้ำ
อีกฝั่งฟากเป็นนักไสยศาสตร์เจ้าลัทธิผู้โด่งดัง
“เฮ้ย...ไอ้นักบวชโง่เง่า แกสามารถแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการ
เดินอยู่เหนือผิวน้ำเหมือนข้าได้หรือเปล่า ?”
เจ้าลัทธิท้าทายอาจารย์เซนด้วยความอหังการ
“ปาฏิหาริย์ของข้า คือ การไร้ปาฏิหาริย์”
อาจารย์เซนตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แล้วเดินจากไป.....



เมื่อได้อ่านบทสวดและคำแปลในหนังสือสวดมนต์ แปล
สิ่งที่เราควรตระหนักถึงให้มากก็คือ

บทสวดมนต์เหล่านี้มิได้มีปาฏิหาริย์ใดใด
ที่จะทำให้เรารอดพ้นไปจากวงจรแห่งการเกิด-ดับ
ต่อให้สวดเป็นแสนเป็นล้านเที่ยวก็ไม่อาจพาเราพ้นไปจากห้วงทุกข์แห่งกองสังขารได้
ปาฏิหาริย์เดียวถ้าจะมี...ก็คือ การไม่มีปาฏิหาริย์

หากแต่ถ้าเราอ่านอย่างตั้งใจ
เราจะพบว่าศาสนาพุทธนั้น
เป็นศาสนาแห่งปัญญา พลัง และความบริสุทธิ์

ในหลายๆพระสูตรอธิบายหลักการในการคิด
อธิบายหลักการในการปฏิบัติตน
เพื่อมุ่งไปสู่หนทางแห่งการพ้นทุกข์
และมันเป็นหนทางที่ใครก็เดินแทนใครไม่ได้
ชะตากรรมถูกกำหนดไว้ด้วยตัวเราเองทั้งสิ้น


ไม่ว่าบทสวดใดล้วนแต่สอนให้เราตระหนักถึงความเป็นจริงแห่งชีวิต
ให้ยอมรับในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้และสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้


เมื่อสวดมนต์อย่างมีสติ
เราจะพบว่า “ปัญญาญาน” นี้ มีอยู่แล้วในตัวเราทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด ศาสนาใด
ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงแห่งการเกิด-ดับนี้ได้
ขอเพียงให้เราตั้งใจที่จะอ่านและทำความเข้าใจ
ในคำแปลต่างๆเหล่านั้นนั่นเอง.....

กล่องความคิดเห็น

การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่