:: เด็กคนนั้น...หายไปจากชีวิตของผม ::
เด็กคนนั้น...
หายไปจากชีวิตของผม
: กะว่าก๋า
วันนี้เหมือนวันพระเจ้าทดสอบความอดทน
เช้ามาเน็ตเล่นไม่ได้....
เข้ายากมาก และพอคอมเม้นท์เสร็จก็ดับไปเฉยๆ
สายๆ ผมหงุดหงิดกับคนและเรื่องงานที่ร้าน....
บ่ายโมง...อากาศร้อนอบอ้าว
ไฟฟ้าดับไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเพื่อเปลี่ยนมิเตอร์ไฟฟ้าในร้าน
เย็นมา...น้ำประปาไม่ไหล
เมื่อทานข้าวเสร็จ....ผมเปิดคอม
คิดไว้ในใจว่าเน็ตคงใช้การไม่ได้ เพราะฝนตั้งเค้าทะมึน
สภาพการณ์แบบนี้...เน็ตใช้การไม่ได้แน่นอน....
แต่ผมก็ยังอยากนั่งพิมพ์อะไรบางอย่าง......
นี่คือรูปภาพในไฟล์ภาพของผม
วันนี้ผมอยากจะอัพบล็อกแต่
ทรัมป์ไดร์ฟที่เก็บภาพทั้งหมดของผม...ใช้การไม่ได้
ผมเลยเปิดไฟล์ภาพเก่าในเครื่องดู
มีภาพที่ผมสแกนเก็บไว้ตั้งนานแล้ว
ภาพต่างๆเหล่านี้ผมวาดไว้ตั้งแต่สมัยไปเรียนที่ลาดกระบัง
เมื่อว่างจากการเรียน
ผมมักวาดรูปเหล่านี้โดยไม่รู้ที่มาว่าทำไมถึงชอบวาด
และได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
เพื่อนที่บ้านเช่าไม่มีใครชอบภาพเหล่านี้
ทุกคนบอกว่ามันน่ากลัวมาก
และดูไม่น่ารื่นรมย์ใจ
เด็กแววตาแข็งกร้าวท่าทางเอาเรื่องนี้
อยู่ในชีวิตของผมต่อเนื่องยาวนานเกือบ 5 ปี
เมื่อว่าง ผมชอบนั่งวาดรูปเด็กเหล่านี้ รวมทั้งภาพเบ็ดและสายป่าน
เลือด และ สีหน้าอันแสดงออกถึงความเจ็บปวด
เย็นชาและมึนตึง
อดคิดไม่ได้ว่า
เป็นเพราะความไม่พอใจในขณะที่เรียนอยู่ที่ลาดกระบังใช่ไหม
ที่ทำให้ผมแสดงออกผ่านภาพเหล่านี้....
และติดอยู่ในห้วงความคิดของผมอย่างยาวนาน
ผมไปเรียนที่นี่ด้วยความมุ่งมั่นว่าอยากเป็นครู
แต่พอไปเรียนกลับพบว่าที่นี่ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด ทั้งอาจารย์ที่คณะ
และเพื่อนร่วมคณะไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคาดหวัง
และเพราะตั้งความหวังไว้มาก เมื่อไม่เป็นไปตามที่หวัง
จึงผิดหวังรุนแรง จนแสดงออกมาอย่างแข็งกร้าวและท้าทายระบบ
ผมเขียนหนังสือชื่อ "สองปีที่ฝันร้าย" บรรยายความรู้สึกของตัวเองขณะเรียนที่นี่
มันเต็มไปด้วยอารมณ์ก้าวร้าว เสียดสี ประชดประชัน
ทั้งอาจารย์ เพื่อน ระบบการศึกษา
ครั้งแรกที่เขียนเสร็จ ผมยอมรับว่าตัวเองสะใจกับมันมาก
ต่อเมื่อเวลาผ่านไปหลายปีและกลับมาได้ย้อนคิด
ผมจึงได้แต่ "เสียใจ" ในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในวันนั้น......
...........................................................
วันนี้....หลายเหตุการณ์ชวนหงุดหงิด
แต่ผมก็ผ่านมันมาได้โดยไม่ทิ้งริ้วรอยความก้าวร้าวกับคนรอบข้างมากนัก
ตอนที่เดินเข้าบ้านมาด้วยความหงุดหงิด
มาดามสังเกตความกรุ่นในอารมณ์ของผมเป็นคนแรก
เธอให้ผมพร่ำบ่น ระบาย และรับฟังอย่างเงียบๆ....
คำพูดแค่ว่า "ป๊า...ใจเย็นๆ"
เรียกสติของผมกลับคืนมาโดยฉับพลัน
ผมกำลังถ่ายเทความหงุดหงิดในใจ
ออกไปให้คนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย.....
ในขณะที่ทุกอย่างชวนหงุดหงิด --- ผมกลับนิ่งได้
ดีที่รู้ตัวเร็ว.....ผมบอกกับตัวเอง
ตอนเย็นมาดามทำสปาเกตตี้น้ำพริกอ่อง ---
ทั้งที่ท้องแก่ แต่เธออยากลงครัว
เพราะเห็นผมอยากทานอะไรที่แปลกออกไปจากเมนูที่บ้าน
ผมทานสปาเกตตี้อย่างเอร็ดอร่อย.....
..................................................
เด็กหน้าตาก้าวร้าวที่ผมเคยวาดเป็นพันๆรูปเมื่อหลายปีก่อน
บัดนี้หายไปจากชีวิตของผมมานานแล้ว
ทุกวันนี้เมื่อหยิบกระดาษขึ้นมาวาดรูป
ถ้าไม่ใช่หมื่นตา
ก็จะเป็นรูปเด็กผู้ชายยืนยิ้มอย่างมีความสุข
นั่นสิ --- ผมอยากรู้เหมือนกันว่าเด็กปิศาจนั่นหายไปไหน
และหายไปได้อย่างไร ?
หรือบางที....ผมไม่ควรสงสัย ไม่ควรตั้งคำถาม
แต่ควรจะรู้ตัวให้เร็ว และขอบคุณคู่ชีวิตของผม
ที่ทำให้ผมรู้ว่าในวันที่อะไรดูเลวร้ายที่สุด
ก็ยังมีเรื่องราวดีดีให้นึกถึงได้เสมอ
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่