:: เขียนความว่างบนความว่าง ::
เขียนความว่างบนความว่าง
เขียนโดย --- กะว่าก๋า
1.
หญิงสาวน้ำตาเปียกรื้น
เธอเพิ่งแยกจากอดีตชายคนรัก
เธอบอกปัดปฏิเสธการสานต่อความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอ
ไม่ใช่เธอหมดเยื่อใย
แต่เป็นเพราะชายหนุ่มไม่เคยหยุดความรักไว้ที่ตัวเธอ
เขาแสวงหาความรักไม่หยุดหย่อน
โดยใช้เธอเป็นเพียงที่พักเหนื่อยริมทาง
เธอทนจนไม่รู้จะทนอย่างไร
ในที่สุดเยื่อใยสุดท้ายก็สะบั้นลง
เพราะเธอคิดว่าเธอทนมามากพอแล้ว
2.
นักบวชหนุ่มบิดกายไล่ความเมื่อยขบ
หลายเดือนล่วงมาแล้วที่เขาพยายามอย่างยิ่งยวด
ในการแสวงหาหนทางบรรลุธรรม
เขาเฝ้าเสาะแสวงหาอาจารย์ที่เลื่องชื่อในการปฏิบัติ
นักบวชหนุ่มมุ่งมานะในการบำเพ็ญเพียรอย่างหนักหน่วง
ชนิดลืมกินลืมพักผ่อน
ร่างกายของเขาซูบผอมและอิดโรย....
แต่นั่นไม่อาจขวางดวงจิตแห่งศรัทธาอันหนักแน่นของเขา
ให้สั่นคลอนและหวั่นไหวได้เลยแม้เพียงสักนิด
เขาปวารณาจิตเอาไว้ว่า
“ถ้าคืนนี้ฉันไม่บรรลุธรรม ฉันยอมตาย”
3.
เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่า
ซุกตัวอยู่ในมุมมืดของห้องที่ดับไฟสนิท
เขากำลังโกรธพ่อและเกลียดแม่ที่ไม่เคยเข้าใจตัวเขา
กับแค่การขอออกไปเที่ยวกลางคืนกับเพื่อนเป็นคืนที่สองติดกัน
พ่อกลับด่าเขาไม่มีชิ้นดี
แม่ก็คอยซ้ำเติมด้วยถ้อยคำบาดหู....
ป่านนี้เพื่อนคงสนุกสนานอยู่ท่ามกลางร้านเหล้าที่ไหนสักแห่ง
ในขณะที่ตัวเขาต้องมานั่งเซ็งชีวิตด้วยความผิดหวัง
อยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยรัศมีแห่งความเย็นชามึนตึง
**************************************
3.
กลางดึกคืนนั้น...
เด็กหนุ่มรับโทรศัพท์มือถือด้วยใจเต้นรัว
เพื่อนในกลุ่มทั้ง 7 คน
เสียชีวิตทันทีจากอุบัติเหตุเมาแล้วขับ
ประสานงากับรถบรรทุกจนรถมีสภาพเละยับเยิน
ทั้งหมดอายุเพียง 18 ปี
เด็กหนุ่มนึกถึงคำด่าของพ่อ และถ้อยคำห้ามปรามของแม่
เขาเดินไปเคาะประตูห้องของพ่อแม่
เล่าเรื่องการเสียชีวิตของเพื่อนให้ท่านทั้งสองฟัง
เด็กหนุ่มก้มลงกราบพ่อและแม่ทั้งน้ำตา
นึกเสียใจที่ทำไมมองไม่เห็นความหวังดีที่ซ่อนอยู่หลังคำตักเตือนเหล่านั้น
2.
พระอาจารย์เห็นนักบวชหนุ่มคร่ำเคร่งกับการนั่งสมาธิ
ท่านรอจนนักบวชหนุ่มออกจากสมาธิอย่างอิดโรย
จึงเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆว่า
“เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
“ผมกำลังแสวงหาการบรรลุธรรมขอรับ” นักบวชหนุ่มตอบ
“ด้วยวิธีใด ?”
“ด้วยการนั่งสมาธิครับ”
“แล้วบรรลุธรรมรึยังล่ะ ?” อาจารย์ถามต่อ
“ยังขอรับ”
อาจารย์เฒ่าเดินไปนั่งที่ข้างกายของนักบวชหนุ่ม
หยิบหินขึ้นมาถูกันอย่างช้าๆ
นักบวชหนุ่มได้แต่แปลกใจในพฤติกรรมของอาจารย์ จนอดรนทนไม่ไหว
เอ่ยปากถามขึ้นว่า....
“ท่านอาจารย์ถูหินไปเพื่ออะไรขอรับ ?”
“ฉันกำลังถูหินสองก้อนให้กลายเป็นทองคำ” อาจารย์ตอบพลางถูก้อนหินไปเรื่อยๆ...
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรขอรับ” นักบวชหนุ่มถามต่อด้วยความงุนงง
“ก็นั่นสิ...หินถูกันให้กลายเป็นทองไม่ได้
เจ้าก็ไม่สามารถนั่งสมาธิ หลับตาหรือบริกรรมคาถาเพื่อให้บรรลุธรรมได้หรอก
สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับปัญญาในตัวเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องไปเสาะแสวงหาเอามาจากที่ไหน”
1.
หลายปีต่อมา.....
หญิงสาวแต่งงานกับคนรักคนใหม่อย่างมีความสุข
หลังจากเศร้าสุดชีวิตในวันนั้น
เธอกลับพบว่าในความสัมพันธ์ที่จบลงไปนั้น
มีบทเรียนต่างๆซ่อนอยู่มากมายให้เธอเรียนรู้
เธอพบว่าเธอไม่จำเป็นต้องโทษเขา หรือโทษตัวเอง
ที่ไม่อาจประคับประคองความรักที่กระพร่องกระแพร่งได้
ในความเจ็บปวด....เธอยังนึกขอบคุณเขาที่ได้มอบสิ่งดีดีหลายอย่างให้กับเธอ
ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่รักผู้ชายคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดใจได้มากมายเพียงนี้
เธอให้อภัยเขา
ในขณะที่เธอเองได้ปลดปล่อยตัวเองจากความเจ็บปวดนี้ด้วย
หญิงสาวพบว่า....
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การแสวงหาความรัก
หรือการรักใครสักคน
ปัญหาอยู่ที่เธอรักตัวเองได้มากพอหรือยัง
เพราะเมื่อเธอรักตัวเองอย่างดีที่สุด
ในยามที่เธอรักใคร
เธอไม่ต้องการรักของใครมาเติมเต็มชีวิตของเธออีกต่อไป
หากแต่ความรักของเธอจะเป็นการแบ่งปันและการเกื้อกูลกัน
เธอค้นพบความจริงว่า
ต่อให้รักกันมากแค่ไหน
วันหนึ่งก็ต้องจากกัน ไม่จากกันวันนี้ ก็จากกันวันหน้า
ไม่เธอตายจากเขาก่อน ก็เขาตายจากเธอก่อน
ความรักจึงเป็นเพียงเรื่องหนึ่งในชีวิตที่ไม่ได้จีรังยั่งยืนอะไรเลย
แต่เราจะมีความสุขได้ ถ้าเราเข้าใจความรัก
เมื่อเราเข้าใจความรัก เราจะเข้าใจชีวิต
เมื่อเราเข้าใจชีวิต
เราจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา
จวบจนวันตาย......
**************************************
เขียนความว่าง
ลงบน
ความว่าง
ใช้ความทุกข์
ทมถับความทุกข์
ใช่ความทุกข์จะจางหาย
มองเห็นตามความเป็นจริง
ถ้าทุกสิ่งเป็นอย่างที่เรามุ่งหวังทุกอย่าง
แล้วใครจะมาแบกรับทุกความผิดหวังที่เราไม่ต้องการ
กล่องความคิดเห็น
การแสดงความคิดเห็นเปิดสำหรับสมาชิกเท่านั้น
ลงชื่อเข้าระบบสมาชิก หรือ สมัครสมาชิกใหม่